วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn
<p> <strong> วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด</strong> ISSN 2822-1095 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยวัดหนองนกกด จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p>
วัดหนองนกกด ตำบลไฮหย่อง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร 47160
th-TH
วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2985-0436
-
แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1736
<p>ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุกจึงเป็นแนวทางที่เสริมสร้างทักษะและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งในชั้นเรียนและผ่านสื่อออนไลน์ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุกโดยมีรายละเอียดดังนี้</p> <ol> <li>ศึกษาการจัดการเรียนการรู้แบบผสมผสาน เป็นการบูรณาการระหว่างการเรียนรู้แบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนและการเรียนรู้แบบออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีผู้สอนเป็นผู้กำกับการจัดการเรียนรู้ ใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเน้นเทคนิควิธีการที่ดีของการเรียนแบบเผชิญหน้าที่ส่งเสริมทักษะการเข้าสังคมและการเรียนแบบออนไลน์ผ่านวิธีการเรียนรู้ช่องทาง และสื่อเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ</li> <li>ศึกษาการเรียนรู้เชิงรุก เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนคิดและลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง โดยในการทำกิจกรรมผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทั้งกับผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อสรุปองค์ความรู้ร่วมกัน มีการเชื่อมโยงความรู้เข้ากับประสบการณ์ ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ไปพร้อมกับการเรียนรู้เนื้อหา</li> <li>แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก เป็นจัดการเรียนการสอนแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนและแบบออนไลน์ ตามสัดส่วนแบบผสมผสาน 70:30 สามารถแบ่งการผสมผสานเป็น 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านสถานที่ 2) ด้านสื่อการสอน และ 3) ด้านการจัดการเรียนการสอน โดยมีขั้นตอนของการเรียนรู้เชิงรุก 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ขั้นสร้างแรงจูงใจ 2) ขั้นสอน 3) ขั้นแสวงหาความรู้ 4) ขั้นสร้างองค์ความรู้ 5) ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ 6) ขั้นเห็นคุณค่านำไปใช้ประโยชน์</li> </ol>
สุภัชฌาน์ ศรีเอี่ยม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
485
498
-
การยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยบริการสาธารณะดิจิทัล: กรณีศึกษาเชิงนวัตกรรม
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1965
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับนวัตกรรมการบริการสาธารณะ โดยกล่าวถึง "นวัตกรรมบริการสาธารณะ" ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงบริการของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีขึ้น วิเคราะห์ผลกระทบของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการ ตัวอย่างของนวัตกรรมที่กล่าวถึงได้แก่ e-Services การให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ประชาชนสามารถดำเนินการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น การยื่นเอกสารออนไลน์ การจ่ายภาษี และการขอใบรับรอง นอกจากนี้ยังมีการให้บริการแบบ One-Stop Service ที่รวมทุกบริการไว้ในที่เดียวเพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ นวัตกรรมที่สำคัญอื่นๆ รวมถึงแอปพลิเคชัน "Pao Tang" สำหรับการรับสิทธิประโยชน์และตรวจสอบสถานะการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แอปพลิเคชัน "e-Refund" สำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และแอปพลิเคชัน "BTS Skytrain" ที่ช่วยให้ผู้โดยสารตรวจสอบการเดินทางได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชันสำหรับการสมัครงานภาครัฐผ่านระบบออนไลน์ และนำเสนอแนวทางหรือกลยุทธ์ในการพัฒนาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารภาครัฐให้ทันสมัยและรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคดิจิทัล</p>
วิภาวรรณ สุวรรณ์
สุภาพร ปานดำ
สาลินี ดวงสา
โชติ บดีรัฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
499
515
-
แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพสู่มาตรฐาน ด้านการบริหารจัดการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดมหาสารคาม
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1957
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพสู่มาตรฐานด้านการบริหารจัดการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดมหาสารคาม และ 2) สร้างแนวทางการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพสู่มาตรฐานด้านการบริหารจัดการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยดำเนินการวิจัย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครู จำนวน 572 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพ <br />โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้อำนวยการ<br />กองการศึกษา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และครูผู้ดูแลเด็ก และประเมินความเหมาะสม<br />และความเป็นไปได้ของแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสรุปเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นเรียงลำดับจากด้านการบริหารงาน ด้านงบประมาณ และด้านบุคลากร 2) แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 3 ด้าน 9 องค์ประกอบ รวม 45 แนวทาง ได้แก่ ด้านบุคลากร 17 แนวทาง งบประมาณ 20 แนวทาง และการบริหารงาน 8 แนวทาง โดยทุกแนวทางได้รับการประเมินว่ามีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด</p>
อาทิตญา ทองสาดี
กาญจน์ เรืองมนตรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-11-30
2025-11-30
3 6
1
16
-
แนวทางการพัฒนาการบริหารงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1958
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 2) สร้างแนวทางการพัฒนาการบริหารงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 โดยดำเนินการวิจัย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และหาค่าความเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ .87 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้ดูแลงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 192 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกครูผู้ดูแลงานในสถานศึกษาที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 คน และประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล รองลงมาคือ การส่งเสริมและพัฒนา การรู้จักนักเรียน การส่งต่อ และการป้องกันและแก้ไขปัญหา 2) แนวทางการพัฒนาฯ ประกอบด้วย 5 ด้าน รวม 35 แนวทาง ซึ่งผลการประเมินพบว่า มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด</p>
สุขติพร โพธิแสง
กาญจน์ เรืองมนตรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-01-02
2025-01-02
3 6
17
33
-
การศึกษากระบวนการจัดการองค์กรวัฒนธรรมองค์กร และความสุขในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1960
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1 เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี 2. เพื่อประเมินปัจจัยที่เกี่ยวกับความสุขในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี โดยจะดำเนินการในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี ครอบคลุมวิทยาลัยที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด 7 สถานศึกษา ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวง ซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี วิทยาลัยสารพัดช่างสระบุรี วิทยาลัยการอาชีพสระบุรี และวิทยาลัยการอาชีพหนองแค โดยผู้ค้นคว้ามุ่งเป้าบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีจำนวนประชากร 645 คน และสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ด้วยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จากประชากร จำนวน 645 คน ด้วยเว็ปไซต์ Raosoft.com ที่มีระดับนัยสำคัญที่ .05 ขนาดความคลาดเคลื่อน ±5 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 133 คน</p> <p> ผลการค้นตว้าอิสระพบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี 1.1 ด้านกระบวนการจัดการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วสามารถเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้ดังนี้ ด้านการนำ ด้านการควบคุม ด้านการจัดองค์การ และด้านการวางแผน 1.2. ด้านวัฒนธรรมองค์การ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วสามารถเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมด้านเอกภาพ ด้านวัฒนธรรมพันธกิจ ด้านวัฒนธรรมการปรับตัว และด้านวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ผลการประเมินรูปแบบปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสุขในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (X=4.70, S.D.=0.58) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีผลการประเมินสูงสุด คือด้านความเป็นไปและด้านความเหมาะสม รองลงมา คือ ด้านความสอดคล้อง และด้านความเป็นประโยชน์ โดยทุกด้านอยู่ระดับมากที่สุด</p>
ขวัญจิรา โพธิ์ทอง
สามารถ สว่างแจ้ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
34
50
-
การศึกษาการบริหารองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา ตามมุมมองของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1961
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยใช้แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด จำนวน 245 คน ได้จากการสุ่มตามตารางของ Krejcie & Morgan ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การบริหารองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยเรียงลำดับจากค่ามากไปน้อย ได้แก่ การบริหารด้านการเงินและงบประมาณ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานแผนงานและการประกันคุณภาพ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานทั่วไป ตามลำดับ</p>
สมเกียรติ ชาลือ
สามารถ สว่างแจ้ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
51
67
-
ปัจจัยความเสี่ยงทางการเงินและบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดชัยภูมิ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1963
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความเสี่ยงทางการเงินและบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากในบริบทปัจจุบัน สหกรณ์ออมทรัพย์มีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของสมาชิก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความเสี่ยงทางการเงินและบัญชีที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานและความยั่งยืนขององค์กรได้ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 74 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครซี่และมอร์แกน และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยความเสี่ยงทางการเงินและบัญชีโดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดชัยภูมิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อค้นพบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินและบัญชีอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพในการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างยั่งยืนในอนาคต</p>
รสิตา หิรัญคำ
ลินนภัสร์ วุฒิกนกกัญจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
68
83
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมตามแนวทางศาสตร์พระราชาของโรงเรียน บ้านหน้าควนลัง (ราษฎร์สามัคคี) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1964
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการการนิเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนบ้านหน้าควนลัง (ราษฎร์สามัคคี) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 2) พัฒนารูปแบบการนิเทศโดยใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมตามแนวทางศาสตร์พระราชา และ 3) ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าว กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูผู้สอน 37 คน ในปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยวิธีการเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบประเมินทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินคุณภาพรูปแบบ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาและความต้องการการนิเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับมาก 2) รูปแบบการการนิเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 ปัจจัยนําเข้า องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการบริหาร และ องค์ประกอบที่ 5 ผลผลิต ผลการประเมินรูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมตามแนวทางศาสตร์พระราชา ของโรงเรียนบ้านหน้าควนลัง (ราษฎร์สามัคคี) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 ในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.74 , σ = 0.44) และ 3) การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนอยู่ในระดับมาก (µ = 4.42, σ = 0.54) และความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (µ = 4.47, σ = 0.52)</p>
เรวดี เชาวนาสัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
84
101
-
การพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรม
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1966
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาจิต 2) ศึกษาการพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรมปิฎก 3) บูรณาการการพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรมปิฎก 4) เพื่อเสนอแนวทางการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบบูรณาการการพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรมปิฎก” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การพัฒนาจิตเป็นการฝึกอบรมเสริมสร้างจิตใจให้พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติทั้ง 3 ด้าน คือ คุณภาพจิต ได้แก่ คุณธรรมต่าง ๆ คือ สร้างเสริมจิตใจให้ดีงาม สมรรถภาพจิต คือมีความสามารถของจิต สุขภาพจิต คือ มีจิตที่มีสุขภาพดี</li> <li>การพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรมปิฎก เป็นการทำจิตให้เป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา ผู้ศึกษาต้องน้อมไปในทางปฏิบัติ ต้องมีความอดทนต่ออกุศลที่มายั่วยวน ศึกษาเรื่องรูปนามให้เข้าใจอย่างแท้จริง การพัฒนาจิตมีผลต่อการพัฒนากายโดยตรงการพัฒนาจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้แต่การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีได้นั้นจำเป็นต้องเน้นที่การพัฒนาด้านจิตใจตนเองเป็นอันดับแรก เพื่อให้ตนเองสามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพหากบุคคลขาดความเข้มแข็งทางจิตใจขาดหลักในการยึดเหนี่ยวขาดความมุ่งมั่นและความเพียรพยาม ก็จะทำให้อารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เข้าครอบงำจิตใจได้โดยง่ายซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน</li> <li>แนวทางการบูรณาการการพัฒนาจิตตามแนวพระอภิธรรมปิฎก ได้แก่ การน้อมนำเอาหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาปฏิบัติเจริญสติ ภาวนา เพื่อให้จิตเข้าถึงความเป็นจริง และ ทำให้จิตเกิดความสงบ สว่างไสวภายในใจ โดยยึดหลักเจริญสมถภภาวนาและวิปัสสนาภาวนา มาเป็นหลักปฏิบัติ</li> </ol>
พระกิตติพงษ์ จิตฺตคุตฺโต (หอมดอก)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
102
124
-
การสื่ออารมณ์โศกในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1969
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์เรื่องโศการสในละครพันทางเรื่องพระลอ เป็นวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ ดังนี้ 1. ศึกษาความสำคัญของโศการสที่มีต่อการสร้างความสะเทือนอารมณ์ในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอ 2. วิเคราะห์องค์ประกอบ และกระบวนท่ารำที่สื่อโศการสในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอ ตอน พระลอลาแม่ ดำเนินการวิจัยจากการศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งลงภาคสนามเพื่อต่อกระบวนท่ารำกับศิลปินผู้ได้รับถ่ายทอดบทบาทพระลอและพระนางบุญเหลือตามรูปแบบของกรมศิลปากร โดยนำหลักการของทฤษฎีรสในวรรณคดีสันสกฤตของภรตมุณีมาวิเคราะห์รสในแง่ของการสื่ออารมณ์กับนาฏกรรมไทย ผลการวิจัยพบว่า 1.ความสำคัญของโศการสต่อการสร้างความสะเทือนอารมณ์ในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอ ตอน พระลอลาแม่ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลาจากบุคคุลอันเป็นที่รัก มีบทร้อง และกระบวนท่ารำคู่ที่สื่ออารมณ์โศกเศร้าได้อย่างสะเทือนใจ จากการศึกษาพบการโศกเศร้าแบบรำพึงรำพัน การโศกเศร้าแบบคร่ำครวญหา การโศกเศร้าที่จากบุคคลอันเป็นที่รัก การโศกเศร้าที่ต้องจากบ้านเมืองและไพร่พล และการโศกเศร้าแบบแทบสิ้นใจ 2. วิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนท่ารำที่สื่อโศการสในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอ ตอน พระลอลาแม่ พบว่าองค์ประกอบที่เสริมให้การแสดงสมบูรณ์มากขึ้น คือ บทละคร เวที ฉากแสงสี ผู้แสดง ดนตรีและเพลงร้อง การแต่งกาย กระบวนท่ารำ</p>
สโรชา ศุกรสุคนธ์
ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์
อัควิทย์ เรืองรอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
125
139
-
ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาตรัง เขต 2
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1970
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จำนวน 302 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า1) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 มีความสัมพันธ์ทางบวก โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเท่ากับ .918 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในระดับสูงมาก</p>
นิภาพร เพชรมุณี
รุจิราพรรณ คงช่วย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
140
154
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1971
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) รวบรวมข้อเสนอแนะภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 จำนวน 285 คน โดยใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา และสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่า t และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต2 ได้แก่ การบริหารภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาควรผสมผสานหลายแนวทาง ทั้งการเลือกใช้รูปแบบผู้นำที่เหมาะสม การประยุกต์ใช้กระบวนการ ในการกระตุ้นจุดแข็งขององค์กร การนำแนวคิดสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ในการบริหาร</p>
ศิริวรรณ ทิพย์มณี
รุจิราพรรณ คงช่วย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
155
171
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล ในจังหวัดสงขลา
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1972
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (2) ศึกษาสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของครู และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล ในจังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 327 คน จาก 41 โรงเรียน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ตรวจสอบค่าความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson's Correlation Coefficient)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ครอบคลุมด้านการรู้ดิจิทัล การสื่อสาร วิสัยทัศน์ วัฒนธรรมดิจิทัล และการพัฒนาองค์กร</p> <p>สมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของครูในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ครอบคลุมการใช้เทคโนโลยีพื้นฐาน การใช้อย่างมีจริยธรรม การประยุกต์ในการสอน และการพัฒนาตนเอง ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของครูในสถานศึกษาผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า ภาวะผู้นำดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรด้านการศึกษาในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างสมรรถนะของครูให้สามารถปรับตัวและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาสามารถนำไปใช้ประกอบการกำหนดนโยบาย พัฒนาแผนงาน และเป็นแนวทางการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการศึกษาอย่างยั่งยืนในบริบทของโลกดิจิทัล</p>
ฐิติมา เพ็ชบูรณ์
รุจิราพรรณ คงช่วย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
172
186
-
ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกจากงานของพนักงาน Generations Y ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1977
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน อายุงาน และเงินเดือน ที่ส่งผลต่อความตั้งใจลาออกจากงานของพนักงาน Generation Y ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ (2) ปัจจัยค้ำจุนและปัจจัยจูงใจ ได้แก่ ค่าตอบแทนและสวัสดิการ นโยบายและการบริหารงานขององค์กร และความสำเร็จของงาน ที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงาน และ (3) ปัจจัยด้านความผูกพันต่อองค์กร ได้แก่ ทัศนคติและพฤติกรรมที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงาน Generation Y กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงาน Generation Y ของธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ จำนวน 367 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบสมมติฐานด้วย t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยจูงใจและค้ำจุน และความผูกพันต่อองค์การ มีผลต่อความตั้งใจลาออกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
วรัญญา เรือนสุข เรือนสุข
ฐานิตา ฆ้องฤกษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
187
204
-
ความคิดเห็นต่อการดำเนินงานสนับสนุนกองทุนคุ้มครองเด็กของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1979
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการดำเนินงานสนับสนุนกองทุนคุ้มครองเด็กของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ตลอดจนเปรียบเทียบความคิดเห็นตามปัจจัยส่วนบุคคล และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานกองทุนคุ้มครองเด็ก การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 8 ราย ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ปกครอง และผู้นำชุมชน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test และ ANOVA ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมประชาชนมีความคิดเห็นต่อ ด้านการดำเนินงานสนับสนุนกองทุนคุ้มครองเด็กอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการให้บริการด้านการป้องกันความรุนแรงในเด็ก นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลบางประการ เช่น ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อการดำเนินงานกองทุนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 8 ราย พบว่าปัญหาหลักที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของกองทุน ได้แก่ ความไม่ต่อเนื่องของการประชาสัมพันธ์ การขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และการขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในงานคุ้มครองเด็กเท่าที่ควร</p>
ธิตินาถ เต็มภาชนะ
กังสดาล เชาว์วัฒนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
205
215
-
การเตรียมความพร้อมของแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กรณีศึกษา สาธารณรัฐเกาหลี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1982
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมของแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี โดยพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล การรับรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการเดินทาง รวมถึงเปรียบเทียบความพร้อมตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างคือแรงงานไทยที่ผ่านการทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะตามระบบ Point System และได้เดินทางไปทำงานในปี 2568 จำนวน 220 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ด้วยสถิติค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธี Scheffè และการหาค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า แรงงานไทยมีการรับรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ (สาธารณรัฐเกาหลี) ขั้นตอนตั้งแต่สมัครไปจนถึงเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ (สาธารณรัฐเกาหลี) ในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีความเข้าใจในระดับมาก และการเตรียมความพร้อมของแรงงานก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p> ข้อเสนอแนะ คือ จากการศึกษาการเตรียมความพร้อมของแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กรณีศึกษา สาธารณรัฐเกาหลี แม้ว่าจะมีการเตรียมความพร้อมอยู่ในระดับมาก แต่แรงงานไทยยังคงมีการเตรียมความพร้อมด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ข้อบังคับเกี่ยวกับการจ้างงาน แรงงานให้ละเอียดถี่ถ้วน นายจ้างเองก็ต้องมีการศึกษาหาความรู้ทางด้านกฎหมายเช่นเดียวกัน ควรจัดให้มีจัดให้มีศูนย์ให้คำปรึกษาแรงงานก่อนเดินทางเพื่อให้คำแนะนำด้านกฎหมายและการดำเนินการทุกขั้นตอน</p>
วาสนา ตรงสิน
ชัยรัตน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
216
235
-
การบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น กลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาแม่ริม 2
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1989
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน และประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยใช้การวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นกรอบแนวทางการดำเนินการ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครองจากโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 รวมทั้งสิ้น 120 คน ผู้เชี่ยวชาญ 9 คน และกลุ่มทดลอง 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการอ่านที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การวางแผนร่วม การดำเนินงานร่วม การติดตามประเมินผลร่วม และการสะท้อนผลร่วม ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิว่ามีความเหมาะสมและใช้ได้จริงในบริบทของโรงเรียนขนาดเล็ก ผลการทดลองพบว่า รูปแบบดังกล่าวช่วยยกระดับทักษะการอ่านของนักเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือและความตระหนักรู้ในบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน</p>
ชุติมา กันธานุสรณ์
อัมเรศ เนตาสิทธิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
236
253
-
การศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแห่งสติด้วยการประยุกต์แนวคิด กระบวนการปัญญาขั้นสูง สำหรับการเพิ่มความสามารถ ความเป็นผู้นำในองค์กรภาครัฐ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1987
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแห่งสติ ด้วยการประยุกต์แนวคิดกระบวนการปัญญาขั้นสูง สำหรับการเพิ่มความสามารถความเป็นผู้นำในองค์กรภาครัฐ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 คน/รูป เลือกแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น แบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างชนิดปลายเปิด ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ค่า I-CVI, S-CVI/Ave และ S-CVI/UA = 1.00 ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และแบบอุปนัย ตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล และสหวิทยาการ พบว่า แนวทางการพัฒนา มีดังนี้ 1) วิธีการฝึกสติปัฏฐาน 4 2) พัฒนาสมองส่วนหน้าสุด 3) ใช้โปรแกรมแอปพลิเคชันออนไลน์ และ 4) กรอบการพัฒนาจำนวน 11 ด้าน สรุปได้ว่า แนวทางการพัฒนามีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถความเป็นผู้นำในองค์กรภาครัฐได้</p>
ณัชมุนินทร์ จีรธนพัฒนากุล
ปริญญา เรืองทิพย์
ปรัชญา แก้วแก่น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
254
268
-
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาส
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1992
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาส และ 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบดังกล่าวในการพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวนรวมทั้งสิ้น 48 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และ 3) ประเด็นสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t แบบ dependent sample</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) รูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2) หลังจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาส พบว่าคะแนนความสามารถด้านคณิตศาสตร์สูงขึ้น ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p>
วันเฉลิม กองแก้ว
ปรารถณา โกวิทยางกูร
วิยดา เหล่มตระกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
269
284
-
วิธีการแต่งเนื้อหาส่วนนำวรรณคดีในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย “ชุดภาษาเพื่อชีวิต: วรรณคดีลำนำ” ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1993
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการแต่งเนื้อหาส่วนนำวรรณคดีในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย <strong>“</strong>ชุดภาษาเพื่อชีวิต: วรรณคดีลำนำ<strong>” </strong>ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยวิเคราะห์จากเนื้อหาส่วนนำวรรณคดีจำนวน 40 บท โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบวิธีการแต่งเนื้อหาส่วนนำวรรณคดีปรากฏ 6 วิธีการ ได้แก่ การสร้างสถานการณ์เพื่อโยงเข้าตัวบทวรรณคดี การนำแนวคิดสำคัญของตัวบทวรรณคดี การนำตัวละครในตัวบทมาแต่ง การสร้างฉากและบรรยากาศที่สอดคล้องกับตัวบทวรรณคดี การนำเหตุการณ์บางส่วนจากตัวบทวรรณคดี และการนำคำสำคัญจากตัวบทวรรณคดี เนื้อหาส่วนนำวรรณคดีในหนึ่งบทมีวิธีการแต่งได้มากกว่าหนึ่งวิธีการ</p>
อาภากร หนักไหล่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
285
300
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1995
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 291 คน ปีการศึกษา 2566 โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 7 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 5 คน และครูผู้สอน จำนวน 279 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารของสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 90 ข้อ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.957 และแบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.994 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.06, S.D. = 0.21) และสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.89, S.D. = 0.32) 2) ลำดับความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 1 โดยรวม เรียงลำดับจากมากไปน้อยได้แก่ การมีความคิดสร้างสรรค์ การมีจินตนาการ การมีความยืดหยุ่น การสร้างแรงจูงใจ การมีวิสัยทัศน์ และการทำงานเป็นทีม ตามลำดับ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 1 ประกอบด้วย 6 ด้าน จำนวน 6 แนวทาง</p>
สิริกร ชาติดี
สุทธิพงศ์ บุญผดุง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
301
316
-
แนวทางแก้ไขพฤติกรรมการไม่ส่งการบ้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1996
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการไม่ส่งงานหรือการบ้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก จังหวัดนครศรีธรรมราช ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 รวมทั้งค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนจำนวน 45 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจงจากห้องเรียนเป้าหมาย โดยใช้แบบสอบถามที่แบ่งออกเป็นสองตอน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการไม่ส่งงาน/การบ้าน ซึ่งวัดผลโดยใช้มาตราส่วนลิเคิร์ต 5 ระดับ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าสาเหตุหลักของการไม่ส่งการบ้าน ได้แก่ การติดเกม (ค่าเฉลี่ย 4.71) การให้เวลาทำงานน้อยเกินไป (ค่าเฉลี่ย 4.67), และลักษณะงานที่ไม่น่าสนใจ (ค่าเฉลี่ย 4.33) นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลในระดับน้อยถึงปานกลาง ได้แก่ ความยากของเนื้อหา การไม่เข้าใจคำสั่ง ความเบื่อหน่าย หรือไม่มีผู้ให้คำปรึกษา จากข้อมูลดังกล่าว นักวิจัยได้สังเคราะห์แนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและตามหลักการของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น การปลูกฝังจริยธรรมและความรับผิดชอบ การสร้างแรงจูงใจ และการปรับปรุงรูปแบบการบ้านให้เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้ยังแนะนำให้ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพิ่มความมีส่วนร่วม และส่งเสริมการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้คือควรมีการขยายขอบเขตการศึกษาไปยังนักเรียนระดับชั้นอื่น ๆ และควรพิจารณาการแยกกลุ่มวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยในการออกแบบแนวทางการแก้ไขที่ตรงจุดยิ่งขึ้นสำหรับแต่ละบริบทการเรียนรู้ในโรงเรียนต่อไป</p>
อนุชิต ธรฤทธิ์
กรีเพชร เฉตาไพ
ณัฐธิดา ไกรนรา
อดิศร ไกรนรา
พัชรินทร์ อินทมาส
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
317
328
-
ผลของการฝึกโปรแกรมการออกกำลังกายยามว่างที่มีต่อความอดทน ของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือดของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1997
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกโปรแกรมการออกกำลังกายยามว่างที่มีต่อความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้โปรแกรมการฝึก 2 รูปแบบ ได้แก่ โปรแกรมฝึกแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic) และแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) จำนวน 30 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน โดยสุ่มจากอาสาสมัครที่สมัครเข้าร่วมการวิจัย การวัดความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือดใช้แบบทดสอบ Multistage Fitness Test (Beep Test) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ t-test แบบกลุ่มสัมพันธ์ (Dependent t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (One-way Repeated Measures ANOVA)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มมีค่าคะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการฝึก โดยกลุ่มที่ได้รับการฝึกแบบใช้ออกซิเจนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่ฝึกแบบไม่ใช้ออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 2.45, p < .05)</p>
ปิยะพงษ์ ปิยะพงษ์ หวานดี
ปรียาภรณ์ กุลศิริรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
329
346
-
การสร้างชุดกิจกรรมร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1998
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ ของนักศึกษาวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ที่เรียนวิชาขับร้อง และวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้และทักษะการขับร้อง ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ ของนักศึกษาวิชาชีพระยะสั้นวิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ที่เรียนวิชาขับร้องประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ที่เรียนวิชาขับร้อง รุ่นที่ 158 จำนวน 20 คน ในการวิจัยครั้งนี้ใช้จำนวนทั้งหมดของประชากร โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดกิจกรรมร้องเพลง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดทักษะการขับร้อง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติแบบ t-test dependent sample ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างชุดกิจกรรมร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ มีความเหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน 2) ผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้หลังการใช้ชุดกิจกรรมร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ มีผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ( = 13.21, S.D =3.78) และหลังเรียน ( = 24.68, S.D = 4.28) ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ .05 แสดงว่า การเรียนรายวิชาขับร้อง โดยใช้ชุดกิจกรรม ทำให้มีผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้สูงขึ้น 2. ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการขับร้องหลังการใช้ชุดกิจกรรมร้องเพลงสำหรับผู้สูงอายุ มีผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ( = 14.36, S.D = 3.02) และหลังเรียน ( = 26.05, S.D = 3.27) ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 แสดงว่า การเรียนรายวิชาขับร้องโดยใช้ชุดกิจกรรม ทำให้มีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการขับร้องสูงขึ้น</p>
วราภรณ์ คงเพชร
นัฏฐิกา สุนทรธนผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
347
363
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของสมาชิกที่ใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในกรุงเทพเขตชั้นกลาง
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1999
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของสมาชิกที่ใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในกรุงเทพเขตชั้นกลาง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ <br />เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกที่ใช้บริการฟิสเนสเซ็นเตอร์โดยได้จากการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยโปรแกรม G*Power โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.2 ค่าอำนาจการทดสอบร้อยละ 95 (β = 0.95) และระดับนัยสำคัญ (α) ที่ .05 จำนวน 290 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ค่าไคสแควร์ (Chi-Square Test) และสถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทางลักษณะประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ ช่วงอายุ รายได้ต่อเดือน และระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับความสุขของสมาชิกที่ใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ในกรุงเทพเขตชั้นกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 ส่วนปัจจัยส่วนประสมทางด้านการตลาดส่งผลต่อความสุขของสมาชิกที่ใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในกรุงเทพเขตชั้นกลางทุกมิติขององค์ประกอบความสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01</p>
ศาสตร์สุรีย์ ปัญญาสิทธิ์
สราวุธ ชัยวิชิต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
364
383
-
การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในกลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2003
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 (2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน (3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักสัปปุริสธรรม 7 กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูจำนวน 265 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (ค่าความเชื่อมั่น = 0.97) และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ t-test, F-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักสัปปุริสธรรม 7 อยู่ในระดับมาก ด้านการจัดการแหล่งเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (2) พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน (3) แนวทางที่สำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครูในทุกกระบวนการ พัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย และบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม 7 อย่างเป็นระบบ</p>
ชยพล เกษร
พระครูชัยรัตนากร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
384
392
-
ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา สหวิทยาผาแต้ม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา อุบลราชธานี-อำนาจเจริญ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2004
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และระดับการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการ (3) สร้างสมการพยากรณ์ทักษะที่ส่งผลต่อความเป็นเลิศทางวิชาการ และ (4) เสนอแนวทางการใช้ทักษะเพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครู จำนวน 188 คน ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test, F-test, การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยทักษะด้านความรู้และความคิดรวบยอดมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่ด้านมนุษยสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ด้านการบริหารงานวิชาการก็อยู่ในระดับมาก โดยมีการวัดผลและประเมินผลเป็นด้านที่เด่นชัดที่สุด พบว่าทักษะของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) กับความเป็นเลิศทางวิชาการ สมการพยากรณ์ที่สำคัญประกอบด้วย ทักษะด้านการบริหารองค์กร (X1) และทักษะด้านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (X3) ซึ่งร่วมกันพยากรณ์ผลการบริหารงานวิชาการได้ถึงร้อยละ 78.80 (R = 0.888, R² = 0.788, p < .01)</p>
ยุรพร เกษร
พระเมธีวัชราภรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
393
403
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2005
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์และความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น และเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น และประเมินแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มตัวอย่างในการศึกษานี้ประกอบด้วยผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชน จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2567 ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน ครูผู้สอน จำนวน 272 คน จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.989 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างที่ใช้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณดำเนินการโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็นขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่าผลการศึกษาสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพพึงประสงค์เกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดขอนแก่น ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาควรประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) การส่งเสริมให้บุคลากรเป็นผู้นำ (2) การเป็นแบบอย่างในการนำตนเอง (3) การกระตุ้นให้บุคลากรตั้งเป้าหมายด้วยตนเอง (4) การสร้างรูปแบบความคิดในทางบวก (5) การพัฒนาภาวะผู้นำตนเองโดยการให้รางวัลและตำหนิอย่างสร้างสรรค์ (6) การสร้างทีมงานที่สนับสนุนให้เกิดภาวะผู้นำตนเอง ม (7) การอำนวยความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมของผู้นำตนเอง (8) การมีภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม</p>
ศิวกร สุภาพสุนทร
ชาติชาย เกตุพรหม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
404
419
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานขายหน้าร้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2009
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยด้านองค์กร ด้านงาน และด้านจิตวิทยา และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานขายหน้าร้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (2) เปรียบเทียบ ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานขายหน้าร้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) ศึกษาปัจจัยด้านองค์กร ด้านงาน และด้านจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานขายหน้าร้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยแจกแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบแบบ f-test สถิติความแปรแรวนทางเดียว (Oneway ANOVA) หากพบความแตกต่างจะเปรียบเทียบเป็นรายคู่โดยใช้วิธี LSD และใช้สถิติการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21-30 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี และรายได้ 20,001 - 30,000 บาท ปัจจัยส่วนบุคคล เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพัน ปัจจัยด้านองค์กร ปัจจัยด้านงาน และปัจจัยด้านจิตวิทยา มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
คุณานนท์ พู่พุฒเจริญชัย
อรไท ชั้วเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
420
436
-
ความเครียดที่ส่งผลต่อการลาออกของพนักงานบริษัท ในกรุงเทพมหานคร
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2010
<p>วิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของความเครียดและการลาออกของพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อเปรียบเทียบการลาออกของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) เพื่อศึกษาปัจจัยความเครียดที่ส่งผลต่อการลาออกของพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ได้แก่ พนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะกลุ่มส่วนใหญ่ อยู่ในเขตจตุจักร และ แขวงจอมพล รวมทั้งสิ้น 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบหาความแตกต่างค่าที (t - test) สถิติทดสอบหาความแตกต่างค่าเอฟ (F - test) และ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Linear Regression)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) ความเครียดของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (2) การลาออกของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (3) พนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครที่มีอาชีพต่างกันมีการลาออกโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ (4) ปัจจัยความเครียด ได้แก่ ด้านความเครียดจากปัจจัยส่วนบุคคล ด้านความเครียดจากองค์กร และ ด้านความเครียดจากการงาน ส่งผลต่อการลาออกของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สามารถทำนายส่งผลต่อการลาออกของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานครได้ร้อยละ 69.30</p>
จินดารัตน์ มณีแก้ว
อรไท ชั้วเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
437
452
-
การพัฒนาการท่องเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ กรณีศึกษา สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2011
<p>งานวิจัยเรื่องนี้มุ่งเน้นศึกษาการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติภายในพื้นที่ของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาศักยภาพความเป็นแหล่งเรียนรู้ของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 2. เพื่อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาทางการท่องเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) เน้นศึกษาบริบทพื้นที่ของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ดำเนินการได้แก่ กลุ่มผู้บริหารจำนวน 4 ท่าน และพนักงานระดับบริการทั่วไปอีก 1 ท่าน ผู้วิจัยได้เลือกใช้เครื่องมือ 2 อย่างในงานวิจัยชิ้นนี้ 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เพื่อหา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคในปัจจุบันของสวนฯ โดยผู้วิจัยได้จัดทำแบบสัมภาษณ์ที่ คลอบคลุมขอบเขตของวัตถุประสงค์การวิจัย จากนั้นจึงนำแบบสัมภาษณ์กลับมาปรับปรุงตามคำแนะนำอีกครั้ง และ 2) การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่กว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ศักยภาพดังกล่าวถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดด้านการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวก บุคลากร และกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการศึกษาด้วยตนเองเป็นหลัก เพื่อพัฒนาสวนฯ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและดึงดูดนักท่องเที่ยว งานวิจัยเสนอแนะแนวทางที่จำเป็นเร่งด่วน ได้แก่ การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการให้ครอบคลุม การยกระดับคุณภาพบุคลากร การปรับปรุงกลยุทธ์การส่งเสริมการขายและการสื่อสาร และการสร้างเอกลักษณ์ของสินค้าที่ระลึก การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้อย่างจริงจังจะช่วยเสริมสร้างให้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง</p>
ชวรินทร์ สุดสวาท
นันทวรรณ ม่วงใหญ่
สมยศ โอ่งเคลือบ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
453
467
-
แนวทางการพัฒนาพื้นที่นันทนาการของซอยพระยาสุเรนทร์ 32 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/2022
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่นันทนาการของซอยพระยาสุเรนทร์ 32 แขวงบางชัน เขตคลองสามวากรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาปัญหาพื้นที่นันทนาการของซอยพระยาสุเรนทร์ 32 แขวงบางชัน เขตคลองสามวากรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่นันทนาการของซอยพระยาสุเรนทร์ 32 แขวงบางชัน เขตคลองสามวากรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างผู้พักอาศัยในซอยพระยาสุเรนทร์ 32 โดยเทียบจากตารางการประมาณขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 200 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 51-60 ปี มีอาชีพข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานของรัฐ และพักอาศัยแบบครอบครัวเดี่ยว ผลการศึกษา 1) สภาพพื้นที่นันทนาการโดยรวมอยู่ในระดับน้อย โดยมีประเด็นที่พบว่ามีต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียวเพียงพอต่อการพักผ่อนของประชาชนในระดับมาก อย่างไรก็ตาม พื้นที่นันทนาการในซอยพระยาสุเรนทร์ 32 มีความเพียงพอต่อประชากรในชุมชนในระดับน้อย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนในระดับน้อยที่สุด 2) ปัญหาของพื้นที่นันทนาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างอยู่ในสภาพทรุดโทรมหรือไม่สามารถใช้งานได้ รองลงมาคือปัญหาด้านความสะอาด เช่น ขยะหรือการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี และปัญหาด้านความปลอดภัย เช่น อาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ 3)แนวทางในการพัฒนาพื้นที่นันทนาการซึ่งได้แก่ การสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อน การจัดพื้นที่สำหรับการออกกำลังกาย การสร้างพื้นที่สำหรับกิจกรรมชุมชนและการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่นันทนาการในซอยพระยาสุเรนทร์ 32 และสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาสำหรับการพัฒนาพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพมหานครต่อไป</p>
นารีรัตน์ แสงมาน
สุมนรตรี นิ่มเนติพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2025-12-02
2025-12-02
3 6
468
484