วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn
<p> <strong> วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด</strong> ISSN 2985-0436 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยวัดหนองนกกด จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (DOIs) ได้รับการระบุในฐานข้อมูล DataCite (https://search.datacite.org/works?query=DR.KET)</p> <p>-วารสารกำลังพัฒนาปรับปรุงรูปแบบและประเด็นหลักเพื่อเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI เพื่อรองรับการประเมินจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย</p> <p> ISSN 2985-0436 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดย วัดหนองนกกด ประเทศไทย จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (DOIs) ได้รับการระบุในฐานข้อมูล DataCite (https://search.datacite.org/works?query=DR.KET)</p> <p>-วารสารกำลังพัฒนาปรับปรุงรูปแบบและประเด็นหลักเพื่อเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI เพื่อรองรับการประเมินจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย</p> <p> ISSN 2985-0436 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดย วัดหนองนกกด จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (DOIs) ได้รับการระบุในฐานข้อมูล DataCite (https://search.datacite.org/works?query=DR.KET)</p> <p>-วารสารกำลังพัฒนาปรับปรุงรูปแบบและประเด็นหลักเพื่อเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI เพื่อรองรับการประเมินจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย</p>
วัดหนองนกกด ตำบลไฮหย่อง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร 47160
th-TH
วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2985-0436
-
กระบวนทัศน์การสอนสังคมศึกษาตามแนวพุทธเพื่อการแก้ปัญหา
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/917
<p class="5175" style="text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH">บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการนำเสนอกระบวนทัศน์การสอนสังคมศึกษาตามแนวพุทธเพื่อการแก้ปัญหา การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ โดยได้ค้นคว้าจากหนังสือ วารสาร นักวิชาการศึกษา และการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง </span><span lang="TH" style="font-family: 'TH SarabunIT๙',sans-serif;">ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำเอาหลักธรรมทางศาสนาประยุกต์เข้ากับการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตเยาวชนผู้เป็นประชากรใหม่ของสังคมในยุคต่อ ๆ ไป โดยสถาบันครอบครัวมีอิทธิพลต่อเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถาบันแรกที่ให้การอบรมทางด้านจิตใจ ให้ความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่ดูแล ทะนุถนอม ปกครองดูแลอย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถให้เยาวชนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและคุณธรรมได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาให้กับสังคม ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข เพราะเยาวชนในวันนี้ก็คือผู้นำและพัฒนาสังคมประเทศชาติ</span></p>
พระสุรพล อาภรโณ (ไกรรอด)
Copyright (c) 2024 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2024-12-01
2024-12-01
2 6
55
73
-
การพัฒนาความสามารถการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1057
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม โดยการเลือกแบบการสุ่มอย่างง่าย รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง ด้วยวิธีการใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เพื่อวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบค่า t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม มีประสิทธิภาพ 76.24/78.46 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านอย่างมีวิจาณญาณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแม่แจ่ม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
รัญชิดา บุรพลธานี
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
สุนีย์ นามประเทศ
Copyright (c) 2024 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2024-12-01
2024-12-01
2 6
1
12
-
การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1099
<p>การวิจัยเชิงปริมาณในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 และ 2) เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยจำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และขนาดสถานศึกษากลุ่มตัวอย่างคือ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำนวน 328 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ได้แก่ แบบสอบถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.892 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที สถิติทดสอบเอฟ และทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 ในภาพรวมอยู่ระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ 1) ด้านบริหารงานวิชาการ2) ด้านบริหารงานทั่วไป 3) ด้านบริหารงานบุคคล และ 4) ด้านบริหารงานงบประมาณ ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และขนาดของสถานศึกษาพบว่า ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
นวพล เงินเมย
เฉลิมชัย หาญกล้า
ภัสยกร เลาสวัสดิกุล
Copyright (c) 2024 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2024-12-01
2024-12-01
2 6
13
25
-
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษาในพระราชูปถัมภ์
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1152
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะชนิดของคำในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ <br />ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดของคำในภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ โดยการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental research) ด้วยวิธีการใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เพื่อวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One group Pretest - Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบค่า t-test แบบ Dependent Sample</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะชนิดของคำในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ มีประสิทธิภาพ 80.50/80.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดของคำในภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
นันท์นภัส ดวงคำ
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
Copyright (c) 2024 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2024-12-01
2024-12-01
2 6
26
37
-
การบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดลพบุรี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1158
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดลพบุรีและ <br />2) เปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดลพบุรี เมื่อจำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน ขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 350 คน คำนวณโดยใช้สูตร ยามาเน่ และเลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนของขนาดสถานศึกษาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.840 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดลพบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก 3 ด้าน และระดับปานกลาง 2 ด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ (1) ด้านการร่วมมือ (2)ด้านการยอมตาม (3) ด้านประนีประนอม (4) ด้านการบังคับ (5) ด้านการหลีกเลี่ยง และ <br />2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดลพบุรี จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ประภากรณ์ นิสดล
ภูวดล จุลสุคนธ์
บุณยานุช เฉวียงหงส์
Copyright (c) 2024 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด
2024-12-01
2024-12-01
2 6
38
54