https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/issue/feed วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด 2025-05-30T21:00:57+07:00 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด journalsantayaphiwat@gmail.com Open Journal Systems <p> <strong> วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด</strong> ISSN 2822-1095 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยวัดหนองนกกด จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p> https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1586 ถ้ำนาคา : ความเชื่อของประชาชนในท้องถิ่นเขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา 2025-03-10T17:57:25+07:00 พระครูวินัยธร วุฒิไกร อภิรกฺโข mmike2557@gmail.com พระณัฐวุฒิ พันทะลี pantalee200134go@gmail.com พระครูประยุตสารธรรม mmike2557@gmail.com พระมหาวิรุธ วิโรจโน mmike2557@gmail.com ณฐอร เจือจันทร์ mmike2557@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนําเสนอองค์ความรู้ความเชื่อของประชาชนในท้องถิ่นที่มีต่อถ้ำนาคาเขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา ความเชื่อของประชาชนในท้องถิ่น ชาวบ้านมีความเชื่อว่าพญานาคหรืองูยักษ์ได้ถูกสาปให้กลายเป็นหิน ด้วยเหตุที่ว่าบริวารของพญานาคผู้ครองเมืองบาดาลไปมีสัมพันธ์สวาทกับมนุษย์และเมืองบาดาลที่พญานาคอาศัยอยู่ก็คือ บึงโขงหลง โดยมีตำนานว่าแต่เดิมนั้นปู่อือลือเป็นเทพเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าจากนั้นก็ถูกสาปลงมาให้เป็นพญานาคปกครองอยู่ที่เมืองบาดาลที่บึงโขงหลง ซึ่งมีทั้งพญานาคและมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลนี้ ต่อมาผู้คนในเมืองบาดาลทั้งมนุษย์และพญานาคเกิดกิเลสได้สมสู่ชอบคอกันเอง เมื่อปู่อือลือพญานาคทราบเรื่องก็เกิดความโมโหให้กับบริวารที่ไปรักใครกับมนุษย์ จึงสาปให้บริวารกลายเป็นหินอยู่ในถ้ำ โดยบริวารที่ถูกสาปนั้นก็มีอยู่ทั่วเมืองและมีอยู่หลายที่เพื่อให้ปกป้องมนุษย์ ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนให้ความนิยม ความอัศจรรย์ของถ้ำนาคาภายในถ้ำที่มีลักษณะผนังคล้ายเกล็ดของพญานาคกำลังนอนขดตัวอยู่ มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่สีน้ำตาลมีเกล็ดและรูปร่างคล้ายเศียรของพญานาคเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไว้บูชาเพื่อขอโชคขอลาภเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต จึงทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างพากันมาชื่นชมความมหัศจรรย์ของถ้ำนาคาแห่งนี้</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1663 มหาตมะคานธี : ผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิ ด้วยสันติวิธีในอินเดีย 2025-03-23T20:17:33+07:00 พระชาญชัย รตโน (ชำนาญบึงแก) pantalee20013go@gmail.com วิศวชิต พระโคตร pantalee20013go@gmail.com อนุชา เวินชุม pantalee20013go@gmail.com พัลลภ อึ่งพวง pantalee20013go@gmail.com พระณัฐวุฒิ พันทะลี pantalee200134go@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอองค์ความรู้ผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิด้วยสันติวิธีในอินเดียของมหาตมะคานธี องค์ความรู้จากบทความนี้พบว่า มหาตมะคานธี เป็นผู้นำคนสำคัญในการเรียกร้องและต่อสู้เพื่อเอกราชจากประเทศอังกฤษจนสำเร็จ เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิด้วยสันติวิธีที่ไร้ความรุนแรง ได้แก่ 1) การรักและมีเมตตาแก่ผู้ที่เกลียดเราดังที่มหาตมะคานธีได้กล่าวว่าข้าพเจ้าตระหนักดีว่าการปฏิบัติตนตามกฎหมายแห่งความรักเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย แต่การกระทำความดีความงามทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น การรักคนที่เกลียดเรานั้น เป็นเรื่องยากที่สุด อสิงหานั้นจะต้องเริ่มที่ใจ ใจของเราต้องไม่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ทำให้ใจเรามีความรักและเมตตาทั้งผู้ที่เรารักและผู้ที่เกลียดเราด้วย 2) การใช้อหิงสาจำเป็นต้องเรียนรู้และฝึกฝน เพื่อให้ตนเองเป็นผู้ที่เสียสละอย่างสูงสุดเพื่อไม่ให้เกิดความกลัว ไม่กลัวว่าจะต้องสูญเสียไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ ทรัพย์สมบัติหรือแม้แต่ชีวิต ผู้ปฏิบัติตามหลักของอหิงสาจะเป็นคนกลัวหรือมีความขลาดไม่ได้ การปฏิบัติตามหลักของอหิงสาจำเป็นต้องมีความไม่กลัวเป็นพื้นฐานที่มีความสำคัญที่สุด 3) การต่อสู้แบบสัตยาเคราะห์ ผู้ต่อสู้จะต้องไม่ใช้กําลังกับฝ่ายปรปักษ์ ไม่ทำร้ายทำลายชีวิตของคู่ต่อสู้ ผู้ต่อสู้ต้องมีความอดทนและเห็นใจฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ ท่านมหาตมะคานธี ถือเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างประเทศอินเดียให้เป็นปึกแผ่น ทำให้ประเทศอินเดียมีเอกราชประชาธิปไตยมาถึงทุกวันนี้</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1638 องค์ประกอบและแนวทางการบริหารจัดการความปลอดภัยใสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-03-19T13:07:56+07:00 สุทธิกิตติ์ จังหาร suefa.jai.jt@gmail.com โสภา อำนวยรัตน์ Suefa.jai.jt@gmail.com สุนทร คล้ายอ่ำ Suefa.jai.jt@gmail.com น้ำฝน กันมา Suefa.jai.jt@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดย 1) การศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 331 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และ 2) การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยวิธีการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน จากแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบที่มีน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด คือ ด้านวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย รองลงมาคือ ด้านมาตรการด้านความปลอดภัย ด้านการวางแผนด้านความปลอดภัย ด้าน บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมด้านความปลอดภัย ด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัย ด้านวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ เป้าหมายด้านความปลอดภัย และด้านภาวะผู้นำด้านความปลอดภัย ตามลำดับ โดยผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ดีมาก 2) แนวทางการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 หลักการและวัตถุประสงค์ ส่วนที่ 2 องค์ประกอบและแนวทางการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนมัธยมศึกษา ส่วนที่ 3 ปัจจัยความสำเร็จ</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1662 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 2025-03-23T20:13:12+07:00 วุฒิพงษ์ ร้วนทร woottipongss21@gmail.com <p>วิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการ 2) ศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย สุ่มจาก ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และผู้ปกครองนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการสังเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p> 2) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p> 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1664 การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางของรูปแบบการพัฒนาระบบ และกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค ACTIVE LEARNING โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-03-24T10:19:44+07:00 สงกรานต์ บุญมี 62206769@up.ac.th ธิดาวัลย์ อุ่นกอง Songkran@chiangkham.ac.th สันติ บูรณะชาติ Songkran@chiangkham.ac.th น้ำฝน กันมา Songkran@chiangkham.ac.th <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning <br />ใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยดำเนินการ 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารการประกันคุณภาพภายใน การประกันคุณภาพภายนอก เอกสารรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. ด้านบริหารจัดการและการศึกษาพหุกรณีศึกษาการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning ของโรงเรียนที่มีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ จำนวน 5 โรงเรียน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning แหล่งข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Active Learning มี 5 องค์ประกอบ คือ (1) ด้านวัตถุประสงค์ (2) ด้านปัจจัยนำเข้า (3) ด้านกระบวนการ (4) ด้านผลผลิต และ (5) ด้านปัจจัยแห่งความสำเร็จ 2) แนวทางการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค Active Learning ประกอบด้วย 1) การสร้างความเข้าใจและความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญและประโยชน์ 2) การจัดอบรม พัฒนาครู 3) การสนับสนุนจากผู้บริหาร 4) การปรับปรุงหลักสูตรและการออกแบบการเรียนรู้ 5) การส่งเสริมการใช้สื่อและเทคโนโลยี 6) การพัฒนาระบบการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย 7) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ 8) การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และ 9) การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1666 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย 2025-03-24T12:57:07+07:00 จินตนา สิงห์ภา jintana.singpa@gmail.com กรรณิกา ไวโสภา Jintana.singpa@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน 2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากทฤษฎีกับข้อมูลเชิงประจักษ์และ 3) เพื่อตรวจสอบความกลมกลืนของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 55 คน ครูสอน 565 คน รวม 620 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนเท่ากับ 0.980 และชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียนเท่ากับ 0.983 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) โดยใช้โปรแกรม JAMOVI ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากและชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษากับชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ <sup>2</sup>=41.351, df=29, <sup>2</sup>/df=1.426, <br />P–value=0.064, RMSEA=0.026, SRMR=0.011, CFI=0.997, และ TLI=0.996</li> <li>อิทธิพลภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน พบว่า ภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษามีอิทธิพลทางตรงและอิทธิพลรวมเชิงบวกเท่ากับ 0.782 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยตัวแปรภาวะผู้นำแบบปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาได้ร้อยละ 61.1</li> </ol> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1667 การทำงานและปัญหาการทำงานของแกนนำชมรมผู้สูงอายุ ในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงในชุมชน 2025-03-24T22:16:06+07:00 ลัดดาวัลย์ เมืองมูล laddawan-aoy@hotmail.com มาดี ลิ่มสกุล laddawan-aoy@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำงานและปัญหาในการทำงานของแกนนำชมรมผู้สูงอายุในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงในชุมชนโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มแกนนำที่อยู่ในชมรมผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ และเป็นสมาชิกแกนนำชมรมผู้สูงอายุมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จำนวน 10 คน และวิเคราะห์ตัวบทตามวัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์เชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา พบว่า การทำงานของแกนนำชมรมผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นการกำหนดนโยบาย/แผนโครงสร้าง คือ การกำหนดนโยบายประจำปีเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายและงบประมาณ การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบโดยแบ่งตามพื้นที่ และการจัดสรรงบประมาณ 2) ขั้นการกำหนดบุคลากร คือ การจัดบุคลากรออกเป็น 2 ทีม คือ ทีมแกนนำ และทีมเครือข่าย 3) ขั้นการประสานงาน คือ การประสานงานภายในชมรม และเครือข่ายอื่น 4) ขั้นการดำเนินการ คือ การสำรวจและการเยี่ยมบ้าน และการให้ความช่วยเหลือ 5) ขั้นรายงานและประเมินผล คือ การรายงานผลการทำงานในที่ประชุมประจำเดือน และการประเมินผลการทำงานผ่านการสัมภาษณ์ ปัญหาในการดำเนินงานของชมรมผู้สูงอายุ พบปัญหาสำคัญ 2 ปัญหา คือ ปัญหาด้านงบประมาณ และปัญหาด้านการบันทึกข้อมูล</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1673 การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2025-03-26T13:48:11+07:00 พิษณุกร วะดีศิริศักดิ์ wadeesirisak3@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำแนกตาม ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 325 คน การได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้อำเภอเป็นชั้นในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.956 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติเชิงบรรยาย สถิติเชิงอ้างอิงเพื่อทดสอบสมมติฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 พบว่า จำแนกตามระดับการศึกษา และจำแนกตามตำแหน่ง ในภาพรวมไม่แตกต่าง ส่วนการจำแนกตามประสบการณ์ทำงาน พบว่าในภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาของแก่น เขต 5 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี สนับสนุนและส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาสร้างนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนผลักดันให้สถานศึกษาเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้</li> </ol> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1672 แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการโรงเรียนมหาไถ่ศึกษา ในเครือสังฆมณฑลอุดรธานี 2025-03-26T14:08:00+07:00 เกรียงไกร พุทธระสุ camp2550@hotmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมหาไถ่ศึกษาในเครือสังฆมณฑลอุดรธานี 2) เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครู จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์ และ <br />3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร 42 คน และครู 212 คน รวม 254 คน ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test และ One-Way ANOVA หากพบความแตกต่าง ใช้วิธี Scheffe’ ทดสอบรายคู่ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากค่าสูงสุด ได้แก่ การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การนิเทศการศึกษา การวัดผลและเทียบโอนผลการเรียน การใช้สื่อเทคโนโลยี การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตร และระบบประกันคุณภาพ 2) การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการตามตำแหน่งและประสบการณ์โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางพัฒนาควรมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ส่งเสริม STEM, AI, Coding การพัฒนาครูเป็นโค้ชการเรียนรู้ ใช้การประเมินผลตามสภาพจริง และนำ AI วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์นักเรียน ควรส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียน ใช้ Coaching &amp; Mentoring ในการนิเทศ การประกันคุณภาพควรใช้ Data-Driven Management และปรับเป็นระบบดิจิทัล รวมถึงพัฒนา Smart Classroom คลังสื่อออนไลน์ และใช้ AI, AR/VR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1680 รูปแบบการบริหารเพื่อสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางการศึกษาของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ 2025-03-27T12:41:03+07:00 วรายุทธ โลภภูเขียว jgsm.spukk@gmail.com ปิยะธิดา ปัญญา Suriwipa_@hotmail.com <p>วิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการบริหารเพื่อสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ จำนวน 111 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจำนวนประชากรกับตารางของเครจซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจาก 3 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 9 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ 2) สร้างและตรวจสอบยืนยัน และประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ของรูปแบบ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน ผ่านการสนทนากลุ่ม และประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้อง ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>องค์ประกอบของการสร้างโอกาสและความเสมอภาค ประกอบด้วย 6 ด้าน สภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็น 3 ด้านสูงสุดเรียงลำดับ ดังนี้ ด้านการเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ด้านการสร้างโอกาสผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ</li> <li>รูปแบบการบริหารเพื่อสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาของนักเรียน ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) วิธีดำเนินการ 4) แนวทางการประเมิน และ <br />5) เงื่อนไขความสำเร็จ และผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1689 การพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคการศึกษา 4.0 ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น 2025-03-29T15:17:42+07:00 เชาววัฒน์ ทองโคตร kumsamore111@gmail.com ธรินธร นามวรรณ 65010581021@msu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการบริหารงานวิชาการในยุคการศึกษา 4.0 <br />2) พัฒนาแนวทางบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 84 คน และครูผู้สอน จำนวน 266 คน รวมจำนวน 350 คน กำหนดขนาดของตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie และ Morgan ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน ของการบริหารงานวิชาการในยุคการศึกษา 4.0 โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการในยุคการศึกษา 4.0 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นของการบริหารงานวิชาการในยุคการศึกษา 4.0 เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารทรัพยากรส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และด้านการบริหารการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ 2) แนวทางที่พัฒนาขึ้นครอบคลุม 4 ด้าน 14 แนวทาง ประกอบด้วย ด้านการบริหารทรัพยากรส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ มี 5 แนวทาง ด้านการพัฒนาหลักสูตร มี 4 แนวทาง ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มี 3 แนวทาง และด้านการบริหารการจัดการเรียนรู้ มี 2 แนวทาง โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1690 การพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนวิชูทิศตามแนวพุทธจริยศาสตร์ 2025-03-30T19:52:35+07:00 วีรยุทธ สุดใจ littlelittleme1212@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) ศึกษาหลักพุทธจริยศาสตร์ 3) วิเคราะห์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนวิชูทิศตามแนวพุทธจริยศาสตร์ โดยการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเน้นการวิจัยแบบเอกสาร สำรวจข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ พระไตรปิฎก, หนังสือที่เกี่ยวข้องกับพุทธจริยศาสตร์, หนังสือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูตามแนวพุทธจริยศาสตร์ โดยการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนวิชูทิศตามแนวพุทธจริยศาสตร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวพุทธจริยศาสตร์ สรุปได้ว่า พุทธจริยศาสตร์ในพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลักการที่เน้นการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์เพื่อให้เกิดความสุข ความสงบ และความสงบสุขในสังคม ซึ่งหลักการนี้ถูกเรียกว่า "จริยศาสตร์" หรือ "คุณธรรม" ที่มีการปฏิบัติให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก พุทธจริยศาสตร์ขั้นพื้นฐาน พุทธจริยศาสตร์ขั้นกลาง และพุทธจริยศาสตร์ขั้นสูง 2) หลักพุทธจริยศาสตร์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนวิชูทิศสรุปได้ว่า หลักพุทธจริยศาสตร์มีพื้นฐานมาจากหลักสัจธรรมและศีลธรรม สัจธรรมคือส่วนที่เป็นความจริงโดยธรรมชาติที่พระองค์แสดงไว้โดยหลักแห่งไตรลักษณ์และปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น 3) วิเคราะห์การพัฒนาการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนวิชูทิศ สรุปได้ว่า การดำเนินชีวิตของครูเริ่มต้นด้วยการรักษาศีล ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับทางศีลธรรมที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปฏิบัติตนทางกาย วาจา และใจ</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1691 แนวทางการส่งเสริมการจ้างแรงงานผู้สูงอายุเพื่อให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในหน่วยงานภาครัฐ: กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร 2025-03-31T12:10:50+07:00 พงษ์มนัส ดีอด pongmanutd@kkumail.com สุกัญญา เอมอิ่มธรรม Pongmanutd@kkumail.com เพ็ญณี แนรอท Pongmanutd@kkumail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษานโยบายการจ้างแรงงานผู้สูงอายุในหน่วยงานภาครัฐและกรุงเทพมหานคร 2) วิเคราะห์อุปสรรคในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ และ <br />3) เสนอแนะแนวทางการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในหน่วยงานภาครัฐของผู้สูงอายุ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา จากข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากกรุงเทพมหานคร กรมกิจการผู้สูงอายุ และกระทรวงแรงงาน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) นโยบายการจ้างแรงงานผู้สูงอายุในหน่วยงานภาครัฐปัจจุบันเป็นการส่งเสริมโดยสมัครใจมากกว่าการบังคับใช้ทางกฎหมาย มีการจ้างผู้สูงอายุในตำแหน่งที่หลากหลายแต่ยังขาดความยืดหยุ่นในรูปแบบการจ้าง ระบบค่าตอบแทนถูกออกแบบตามลักษณะงานและรูปแบบการจ้าง ส่วนการขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปียังเป็นประเด็นท้าทาย 2) อุปสรรคสำคัญในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุมี 5 ประการ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านกฎหมายและนโยบาย การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ทัศนคติทางสังคมที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของผู้สูงอายุ ข้อจำกัดด้านทักษะเทคโนโลยี และข้อจำกัดด้านสุขภาพและการเดินทาง 3) แนวทางการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุที่เหมาะสมควรดำเนินการสองระยะ โดยระยะแรกมุ่งแก้ไขอุปสรรคพื้นฐานทั้ง 5 ประการ และระยะที่สองเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการพัฒนานโยบาย 4 ด้าน ได้แก่ การขยายอายุเกษียณและปรับนิยามผู้สูงอายุ การพัฒนานโยบายระดับองค์กร การพัฒนารูปแบบการจ้างที่ยืดหยุ่น และการออกแบบระบบค่าตอบแทนที่เหมาะสม</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1700 แนวทางการบริหารงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกในยุคพลิกผันด้วยดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ของโรงเรียนบ้านต้นส้าน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 2025-04-02T11:20:49+07:00 ปัฏฐวัจน์ เฟื่องเพ็ชร kumsamore001@gmail.com สำเนา หมื่นแจ่ม leftmanonly@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากลยุทธ์<br />การประชาสัมพันธ์เชิงรุกในยุคพลิกผันด้วยดิจิทัล (Digital Disruption) 2) วิเคราะห์ปัจจัย<br />ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสื่อสาร<br />และสร้างภาพลักษณ์ของโรงเรียนบ้านต้นส้าน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และ 3) พัฒนาแนวทางประชาสัมพันธ์เชิงรุกที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนดังกล่าว กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ จำนวน 10 คน ผู้บริหารและบุคลากรที่มีแนวปฏิบัติที่ดี<br />ด้านงานประชาสัมพันธ์ จำนวน 6 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน รวมทั้งสิ้น 21 คน คัดเลือกด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกการวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบบันทึกการประชุมเชิงปฏิบัติการ และแบบประเมินแนวทางประชาสัมพันธ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การพรรณาวิเคราะห์ ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เชิงรุกประกอบด้วย (1) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (2) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (3) การพัฒนาศักยภาพการสื่อสาร <br />และ (4) การเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร 2) ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการบริหารงานประชาสัมพันธ์ ได้แก่ (1) การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล (2) การปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้รับสาร (3) การออกแบบระบบการประชาสัมพันธ์<br />ที่ผสมผสานสื่อดั้งเดิมและดิจิทัล และ (4) การคำนึงถึงการเข้าถึงและความเข้าใจ<br />ของกลุ่มเป้าหมาย และ 3) แนวทางที่พัฒนาขึ้นใช้กระบวนการบริหารงานประชาสัมพันธ์ RACE บูรณาการกับปัจจัย SMCR และกลยุทธ์ที่พัฒนา มีความถูกต้องและความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1701 การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 2025-04-02T13:11:07+07:00 ชัยณรงค์ สิงห์จันทร์ chainarong.clr@gmail.com จักรกฤษณ์ โพดาพล Chainarong.clr@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลองค์ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 30 คน และครู 270 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 รวม 300 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน โดยใช้อำเภอและตำแหน่งเป็นชั้นในการแบ่ง ตามแนวคิดของ Hair และคณะ (2018) เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ครอบคลุม 4 ด้าน จำนวน 99 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.949 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 18 ตัวแปรสังเกตได้ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์เทคโนโลยีดิจิทัล <br />(4 ตัวบ่งชี้) การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล (4 ตัวบ่งชี้) การสื่อสารดิจิทัล (5 ตัวบ่งชี้) และความรู้และทักษะดิจิทัล (5 ตัวบ่งชี้) 2) โมเดลองค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก โดยมีค่าไค-สแควร์สัมพัทธ์ (χ²/df) = 1.29, RMSEA = 0.031, GFI = 0.947, AGFI = 0.923, SRMR = 0.040, NNFI = 0.972, CFI = 0.979 และ NFI = 0.913 ค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรทุกตัวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยตัวแปรที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบสูงสุด คือ การใช้โปรแกรมประมวลผลคำ (λ = 0.823) การใช้งานเพื่อความมั่นคงปลอดภัย (λ = 0.714) และการสร้างวิสัยทัศน์ (λ = 0.691) ตามลำดับ</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1709 คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 2025-04-03T18:26:43+07:00 กรกมล ชูรัก kornkamon8708@gmail.com ภูวดล จุลสุคนธ์ kornkamon8708@gmail.com เสริมทรัพย์ วรปัญญา kornkamon8708@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา<br />ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 และ <br />2)เปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จําแนกตามเพศ ตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 309 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและตรวจสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยการทดสอบแอลเอสดี</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และผลการเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จําแนกตามเพศ ตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา พบว่า เพศ ตำแหน่ง ภาพรวมและรายด้านแตกต่างกัน ส่วนประสบการณ์ทำงาน ขนาดสถานศึกษา ภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1713 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 2025-04-06T08:17:32+07:00 นิชานันท์ แสนเยีย noofayjung@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 โดยจําแนกตาม เพศ ตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 47 คน และครูจำนวน 255 คน รวมเป็น 302 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีความเชื่อมั่น 0.949 วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p><strong><em> </em></strong></p> <p><strong><em> </em></strong></p> <p><strong><em> </em></strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จำแนกตามอำเภอที่ตั้งของโรงเรียนโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ที่สำคัญคือ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ ผู้บริหารควรมีแนว ทางการปฏิบัติที่บรรลุผลสำเร็จ และสอดคล้องกับบริบทสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ศึกษาค้นคว้า ริเริ่ม สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ด้านการเผยแพร่วิสัยทัศน์ผู้บริหารควร สื่อสารให้ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาได้อย่างชัดเจน และปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็ม กำลังความสามารถ ด้านการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูและบุคลากรให้ สามารถทำตามวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาทำงานเป็นทีมยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาสู่การพัฒนาและ เปลี่ยนแปลงสถานศึกษาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริม ให้ครูเป็นผู้เสียสละ เอื้ออาทร มีความรัก ความสามัคคี และร่วมใจกันผนึกกำลังในการพัฒนาการศึกษา</li> </ol> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1724 การเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2025-04-06T08:19:42+07:00 พระมหาสรายุทธ กลฺยาณเมธี (แก้วม่วง) pantalee200134go@gmail.com พระณัฐวุฒิ พันทะลี kanlayanamaetee1994@gmail.com พระครูประยุตสารธรรม kanlayanamaetee1994@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 400 คน กลุ่มเป้าหมาย 20 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิเคราะห์ข้อมูล เขียนรายงานตามวัตถุประสงค์ ประกอบอภิปรายผล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการพัฒนาการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรวม ระดับปานกลาง พิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วม ด้านความคิดเห็นต่อการเสริมสร้างค่านิยม ด้านการเสริมสร้างค่านิยม ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (โดยรวม) ที่มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 คือ ด้านการประชาสัมพันธ์ (X2) ด้านการรับรู้การทุจริต (X1) และด้านการสร้างเครือข่าย (X5) มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) เท่ากับ .322 .249 และ .099 ตามลำดับ และ 3) แนวทางการพัฒนาการเสริมสร้างค่านิยมของประชาชนด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมือง คือ จำเป็นต้องอบรมให้ประชาชนโดยให้หน่วยงานรัฐสร้างค่านิยม ส่งเสริมกิจกรรมต่อต้านการทุจริตให้เกิดจิตสำนึกการเป็นพลเมืองที่ดี</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1730 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 2025-04-06T20:41:38+07:00 ศศิประภา ยอดศิลป์ winnernews@gmail.com จักรกฤษณ์ โพดาพล winnernews@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 (2) เพื่อศึกษาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 (4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1กลุ่มตัวอย่างเป็นครูสังกัด สพป.เลย 1 จำนวน 302 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่าที่มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .983 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ที่ระดับมาก 2. ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน โดยรวมอยู่ที่ระดับมาก 3. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำและชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในระดับสูงมาก (r = .988) 4<strong>.</strong> ตัวแปรพยากรณ์ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหาร จำนวน 5 ตัว คือ การอำนวยความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมของผู้นำตนเอง (X<sub>7</sub>) การทำให้เป็นผู้นำตนเอง (X<sub>1</sub>) การสนับสนุนให้เกิดภาวะผู้นำตนเองโดยการสร้างทีมงาน (X<sub>6</sub>) การกระตุ้นให้บุคลากรตั้งเป้าหมายด้วยตนเอง (X<sub>3</sub>) และการอำนวยความสะดวกให้เกิดภาวะผู้นำตนเองโดยให้รางวัลและตำหนิอย่างสร้างสรรค์ (X<sub>5</sub>) ส่งผลต่อการเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนในสังกัด สพป.เลย 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 98</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1848 ศึกษาเปรียบเทียบลีลาการเทศนาของพระนักเทศน์ ตามแนวพุทธลีลาในการสอน 4 เพื่อการสอนวิชาศิลปะการพูด 2025-05-02T21:03:57+07:00 พระบวร ปวรธมฺโม Boworn.moo@mbu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเปรียบเทียบเทคนิคการนำเสนอ การเล่าเรื่อง การใช้ถ้อยคำเทศนาวาทีจูงใจ ของพระธรรมกถึก ตามพุทธวิธีการสอน 4 ประการ 2) เพื่อนำวิธีการเทศนา มาบูรณาการในการประกอบการสอนในห้องเรียน และเป็นแบบอย่างในการพูดเพื่อให้ผู้ฟังประทับใจ หรือการพูดให้เกิดแรงบันดาลใจ รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาโดยวิธีการวิเคราะห์เอกสารและนำเสนอวิจัยในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ (Documentary Content Analysis And Analytical Description) วิเคราะห์ข้อมูลจากการแสดงธรรมเทศนาของพระนักเทศน์จำนวน 5 รูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. พระนักเทศน์แต่ละท่านมีเทคนิคเฉพาะในการเทศนาตามพุทธวิธีการสอน 4 ประการ เช่น การใช้คำถามเชิงปัญหาและเรื่องเล่าที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นความสนใจและให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ทำให้การเทศนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและน่าจดจำ 2. วิธีการเทศนาสามารถนำมาปรับใช้ในการสอนในห้องเรียน โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามและใช้ตัวอย่างที่เข้าสมัย เพื่อเพิ่มความเข้าใจและสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง จูงใจผู้เรียนและช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายและนำไปใช้ได้จริง</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด