https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/issue/feed วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด 2025-07-31T16:40:19+07:00 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด journalsantayaphiwat@gmail.com Open Journal Systems <p> <strong> วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด</strong> ISSN 2822-1095 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยวัดหนองนกกด จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p> https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1732 ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมมือระดับท้องถิ่นในยุค New Normal 2025-04-07T15:50:41+07:00 พระเดชา คุณสมฺปนโน pantalee200134go@gmail.com พระสุธีวชิรธรรม pantalee200134go@gmail.com พระครูสุธีปทุมมากร pantalee200134go@gmail.com พระวิชาญ วุฑฺฒิโก pantalee200134go@gmail.com เมษชัย ใจสำราญ pantalee200134go@gmail.com อรรถชัย สุดบนิด pantalee200134go@gmail.com พระณัฐวุฒิ พันทะลี pantalee200134go@gmail.com <p>ยุค New Normal เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีต เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นการปรับหาวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับความพยายามรักษาและฟื้นฟูศักยภาพทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนในสังคมจะเกิดความคุ้นชินกับพฤติกรรมการดำรงชีวิตแบบใหม่ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติไปในที่สุด<br>บทความนี้จึงมุ่งเสนอภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมมือระดับท้องถิ่นในยุค New Normal ผลการศึกษาพบว่า ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมมือเป็นเรื่องสำคัญขององค์กรที่ช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมาย ซึ่งต้องมีการให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของตนเอง ภาวะผู้นำของแบบมีส่วนร่วมมือเป็นปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาองค์กรระดับท้องถิ่นประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้มีการทำงานอย่างมีส่วนร่วมมือกัน ซึ่งผู้นำต้องใช้แรงจูงใจให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลผู้ที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติงาน ร่วมรับผิดชอบ ตลอดจนการประเมินผลให้ทุกฝ่ายได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกัน อันจะนำไปสู่เป้าหมายความสำเร็จขององค์กรตามแผนที่วางไว้ได้ ฉะนั้นภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมมือระดับท้องถิ่นในยุค New Normal ต้องมีภาวะผู้นำ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) วิสัยทัศน์ 2) คิดเชิงระบบ 3) ใช้เทคโนโลยี 4) มีความรับผิดชอบ และ 5) มีความยืดหยุ่น ภาวะผู้นำ 5 ประการนี้จะทำให้การบริหารองค์กรระดับท้องถิ่นบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จในยุค New Normal</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1935 การศึกษาประสิทธิภาพการใช้ภาษาไทยของนิสิตต่างประเทศที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-05-26T14:56:53+07:00 ประมวลศักดิ์ ดีมี panya9575@gmail.com พระปัญญา สุจิตฺโต (สีงาม) Pramuansak.4995@gmail.com <p>บทความวิชาการเรื่อง “การศึกษาประสิทธิภาพการใช้ภาษาไทยของนิสิตต่างประเทศที่กำลังศึกษา ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เน้นการศึกษาความสามารถในการใช้ภาษาไทยของนิสิตต่างประเทศจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะในบริบทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งมีนิสิตต่างชาติเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมากและต้องใช้ภาษาไทยในการเรียนทั้งด้านพุทธศาสนาและการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งด้านภายใน เช่น ความเข้าใจในคำศัพท์และการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบริบท และด้านภายนอก เช่น การเรียนอย่างตั้งใจ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การได้รับแรงเสริม และการประเมินผลการเรียนอย่างเหมาะสม ควบคู่กับการเสริมสร้างทักษะด้านจิตใจและสังคม ตลอดจน การพัฒนาทักษะภาษาไทยทั้งในด้านการสื่อสาร การเรียนรู้ และการปรับตัวเข้าสู่วิถีวัฒนธรรมไทยได้อย่างมีคุณภาพ</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1726 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ของครู กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม 2025-04-06T11:50:36+07:00 ปราณี ป้ำกระโทก kumsamore111@gmail.com ธรินธร นามวรรณ 65010581035@msu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ <br />และความต้องการจำเป็นของการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม <br />และ 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาสำหรับครูกลุ่มเดียวกัน การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูจำนวน 202 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้ขนาดสถานศึกษาเป็นหน่วยในการสุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ข้อมูลจากครูผู้มีแนวปฏิบัติที่ดีจำนวน 3 คน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา<br />อยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การระบุปัญหา การรวบรวมข้อมูลและแนวคิด การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา การวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา การทดสอบและประเมินผล การปรับปรุง<br />และการนำเสนอผลงาน โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา<br />และกิจกรรม 6 โมดูล วิธีการพัฒนา ได้แก่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง การฝึกอบรม และการสัมมนา ผลการประเมินโปรแกรม พบว่ามีความเหมาะสมในระดับมาก และมีความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1727 แนวทางการบริหารงานระดมทรัพยากรทางการศึกษาแบบมีส่วนร่วม ของโรงเรียนวัดปางมะโอ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 2025-04-06T11:54:39+07:00 ชนานันท์ กันทับ kumsamore@gmail.com สำเนา หมื่นแจ่ม kpl1.chananan@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารงานระดมทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่มีแนวปฏิบัติดี 2) พัฒนาแนวทางการบริหารงานระดมทรัพยากรทางการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนวัดปางมะโอ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ 3) ตรวจสอบแนวทางดังกล่าว การวิจัยดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาแนวทางการบริหารงานจากผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กที่มีแนวปฏิบัติดี 3 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางโดยใช้การประชุมเชิงปฏิบัติการกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 13 คน และระยะที่ 3 ตรวจสอบแนวทางโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ด้วยแบบตรวจสอบความเหมาะสม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการบริหารงานระดมทรัพยากรของโรงเรียนขนาดเล็ก<br />ที่มีแนวปฏิบัติที่ดี มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ การสำรวจความต้องการ จัดทำข้อมูลแหล่งทรัพยากร วางแผนและกำหนดวัตถุประสงค์ ดำเนินการตามแผน และการตรวจสอบผล 2) แนวทาง<br />ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดำเนินงาน และเงื่อนไข<br />แห่งความสำเร็จ และ 3) ผลการตรวจสอบแนวทางโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่ามีความถูกต้อง<br />และเหมาะสมในระดับมากที่สุด</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1728 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครู ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน 2025-04-06T11:56:38+07:00 เบญจพร ธนะมิตร trainerubn1.17@gmail.com สำเนา หมื่นแจ่ม foofaii3@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูด้านนี้จากโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี และ 3) จัดทำและตรวจสอบแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน โดยดำเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจากครูจำนวน 55 คน ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางจากโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี 3 แห่ง โดยสัมภาษณ์ผู้บริหารและครูเทคโนโลยีจำนวน 6 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ระยะที่ 3 จัดทำและตรวจสอบแนวทาง โดยใช้การประชุมเชิงปฏิบัติการกับกลุ่มเป้าหมาย 15 คน และตรวจสอบความเหมาะสมของแนวทางโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากด้านทักษะ เจตคติ และความรู้ 2) แนวทางการพัฒนาจากโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดีประกอบด้วยสมรรถนะ 3 ด้าน และมีกระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ การสำรวจความต้องการ ประเมินระดับสมรรถนะ วางแผน ดำเนินการ และติดตามประเมินผล 3) แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินงาน <br />และเงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งได้รับการประเมินว่ามีความถูกต้องและเหมาะสมในระดับมากที่สุด</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1744 การศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-04-08T18:55:47+07:00 กัญญ์สิริ กันทา aomkan47@gmail.com ณัฐวุฒิ สัพโส Aomkan47@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา จำนวน 315 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของประชากรในสถานศึกษาแต่ละขนาด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนแบบทางเดียว ใช้วิธีทดสอบรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 ตามความคิดเห็นของครูผู้สอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความรับผิดชอบ และด้านลักษณะของงาน 2) ผลการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา โดยภาพรวมพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านความสำเร็จของงาน ด้านการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงาน และด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ส่วน ด้านความรับผิดชอบ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ผลการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง โดยภาพรวมพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05<strong> </strong></p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1745 การศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-04-08T19:04:06+07:00 กชกร ปาณะการ kikzyy1105@gmail.com ณัฐวุฒิ สัพโส kikzyy1105@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จำแนกตามขนาด สถานศึกษาและประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนจำนวน 320 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของประชากรในสถานศึกษาแต่ละขนาด เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม โดยมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบและการวิเคราะห์ความแปรปรวน ทดสอบความแตกต่างรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการตั้งเป้าหมายและจุดประสงค์ร่วมกัน ด้านความยึดมั่นผูกพัน ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการไว้วางใจกัน 2) ผลการเปรียบเทียบระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ จำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านการไว้วางใจกัน และด้านความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 3) ผลการเปรียบเทียบระดับระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ จำแนกตามประสบการณ์ทำงานโดยภาพรวม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการไว้วางใจกันและด้านความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 </p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1747 การศึกษาปัจจัยความเครียดในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-04-09T15:25:50+07:00 ขวัญใจ พรมนอก kaun_hawahi@hotmail.com ณัฐวุฒิ สัพโส Aomkan47@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาปัจจัยความเครียดในการปฏิบัติงานของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 และ 2)เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยความเครียดในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน จำแนกตามขนาดสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา จำนวน 315 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่แบบสอบถาม มีความเชื่อมั่น 0.97 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยความเครียดในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง พิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ด้านลักษณะงาน ด้านบทบาทหน้าที่ ด้านสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นในการปฏิบัติงานด้านความก้าวหน้าในวิชาชีพ และด้านลักษณะบุคคล เมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษา ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ส่วนจำแนกตามประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง โดยภาพรวมพบว่า ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1748 องค์ประกอบทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดมหาสารคาม 2025-04-10T21:12:35+07:00 อารัมภ์ คันธี kotbanphue@gmail.com นิยดา เปี่ยมพืชนะ Kotbanphue@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล และ 2) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดมหาสารคาม เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาอื่น และคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 400 คน สุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.95 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน โดยมีผลการวิจัย ดังนี้</p> <ol> <li>ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจของทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล พบว่า ดังนี้ 1) ด้านการถ่ายทอดและการสื่อสารดิจิทัลมีค่าน้ำหนัก อยู่ระหว่าง 0.939 - 0.945 2) ด้านดิจิทัลเพื่อการบริหารสถานศึกษา มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.885 - 0.9153 3) ด้านการคิดเชิงนวัตกรรม มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.909 - 0.923 และ 4) ด้านการจัดการเรียนรู้และการสอนยุคดิจิทัล มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.870 - 0.891</li> <li>ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล พบว่า โมเดลการวัดมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าระดับความสอดคล้องคือ เท่ากับ 23.793 , P-value เท่ากับ 0.3032 ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ SRMR เท่ากับ 0.023 , RMSEA เท่ากับ0.018 เท่ากับ CFI = 1.00 และ TLI เท่ากับ 0.999 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกค่า</li> </ol> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1749 การศึกษาการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย 2025-05-25T12:12:48+07:00 นิภาพร โฮมประเสริฐ nidnipaporn579@gmail.com บุญช่วย ศิริเกษ sojitat.ard@student.mbu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย โดยจําแนกตามตำแหน่งหน้าที่ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน 3. เพื่อพัฒนาแนวทางการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คน และครูผู้สอน จำนวน 262 คน รวมเป็น 294 คน การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเทียบกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน และใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 8 ด้าน 52 ข้อ ได้ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.729 - 0.949 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.930 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าเอฟ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ทำการทดสอบด้วยสถิติทดสอบเอฟ และตรวจสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีการตรวจสอบความแตกต่างของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย พบว่า ระดับพฤติกรรมเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.03) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D = 0.31) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกข้อ เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการกำหนดเป้าหมาย อยู่ในระดับมาก ( = 4.35) ด้านความไว้วางใจอยู่ในระดับมาก ( = 4.23) ด้านการแสดงบทบาทผู้นำหรือผู้ตามที่เหมาะสม อยู่ในระดับมาก ( = 4.21) และด้านการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ในระดับน้อยที่สุด ( = 3.67)</li> </ol> <p>2) ผลการเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ พบว่า โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสําคัญทางสถิติ การเปรียบเทียบตามวุฒิการศึกษา ก็พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่าด้านการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ประสบการณ์ในการทำงานน้อยกว่า 5 ปี ระหว่าง 5 - 10 ปี และมากว่า 10 ปี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยประสบการณ์ในการทำงานน้อยกว่า 5 ปี มีการทำงานเป็นทีมน้อยกว่าประสบการณ์ในการทำงานมากว่า 10 ปี </p> <p>3) ผลการพัฒนาแนวทางการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเลย ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ 24 แนวทาง 1) การกำหนดเป้าหมาย 3 แนวทาง 2) การแสดงบทบาทผู้นำหรือผู้ตามที่เหมาะสม 3 แนวทาง 3) การให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วม 3 แนวทาง 4) การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์และสัมพันธภาพที่ดีภายนอก 3 แนวทาง 5) การสร้างบรรยากาศที่ดีภายในทีม 3 แนวทาง 6) การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ 3 แนวทาง 7) ความไว้วางใจ 3 แนวทาง และ 8) การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 3 แนวทาง </p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1752 นวัตกรรมการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย 2025-04-10T21:18:17+07:00 วิรุตน์ เตรียมทนะ 668914044@crru.ac.th สมเกียรติ ตุ่นแก้ว 668914044@crru.ac.th ประเวศ เวชชะ 668914044@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสนอนวัตกรรมการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย <br />โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ด้วยวิธีการออกแบบตามลำดับต่อเนื่องเชิงอธิบาย เครื่องมือ<br />ที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ประชากรที่ใช้ ได้แก่ ผู้บริหาร คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แบบบันทึกการประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมด้วยเทคนิค AIC</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า นวัตกรรมการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ จุดมุ่งหมาย ประเด็นกลยุทธ์ แผนงานโครงการที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1759 นวัตกรรมการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา ในยุคปัญญาประดิษฐ์ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 4 2025-04-10T21:15:52+07:00 ชลิตตา คำมูล kruchalitta@gmail.com สมเกียรติ ตุ่นแก้ว kruchalitta@gmail.com ประเวศ เวชชะ kruchalitta@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของทักษะการบริหารงาน 2) ศึกษาเหตุปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงาน 3) ศึกษาภาพอนาคตที่พึงประสงค์ของทักษะการบริหารงาน และ 4) เสนอนวัตกรรมการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหาร ครู โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 4 จำนวน 127 คน ผู้ให้สัมภาษณ์ จำนวน 6 คน และผู้ร่วมสนทนากลุ่มจำนวน 9 คน โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นสภาพปัจจุบันของทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา แบบสัมภาษณ์เหตุปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา และแบบบันทึกการสนทนากลุ่มกำหนดภาพอนาคตที่พึงประสงค์ และเสนอนวัตกรรมการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปัญญาประดิษฐ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของทักษะการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านภาวะผู้นำ การวางแผนกลยุทธ์ และการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ 2) เหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการบริหารงาน ได้แก่ ปัจจัยภายใน เช่น ความรู้ ทัศนคติ และประสบการณ์ของผู้บริหาร และปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการศึกษา ทรัพยากรทางเทคโนโลยี และการสนับสนุนจากชุมชน 3) ภาพอนาคตที่พึงประสงค์ของทักษะการบริหารงาน คือ ผู้บริหารต้องสามารถประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการตัดสินใจ การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและทันสมัย 4) นวัตกรรมที่เหมาะสมควรเป็นระบบการเรียนรู้หรือแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะผู้บริหารแบบองค์รวม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพในโลกยุคดิจิทัล</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1760 รูปแบบการพัฒนาสุขภาพองค์การตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ของสถานศึกษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-04-11T16:44:20+07:00 ราเชนทร์ ติ๊บแก้ว tumcomsc74@gmail.com ธิดาวัลย์ อุ่นกอง Thidawan.unkong@gmail.com วิทยา จันทร์ศิลา vithayaj@nu.ac.th น้ำฝน กันมา numfon.gu@up.ac.th <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทาง 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบ 3) เพื่อประเมินรูปแบบ เป็นการวิจัยผสานวิธี วิธีดำเนินการวิจัยขั้นตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบและแนวทาง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างการสอบถาม 400 คน และการสัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็นและการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบและแนวทาง ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) องค์ประกอบการพัฒนาสุขภาพองค์การ มี 4 ด้าน ได้แก่ <br />3.1) ภาวะผู้นำและการจัดการองค์การ 3.2) สภาพแวดล้อมและบรรยากาศ 3.3) การพัฒนาบุคลากรและความเป็นอยู่ที่ดีและ 3.4) การบริหารจัดการทรัพยากรและการพัฒนาองค์การ <br />4) แนวทางการพัฒนาสุขภาพองค์การตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน มี 6 ด้าน ได้แก่ 4.1) การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 4.2) การส่งเสริมสุขภาพองค์รวม 4.3) การมีส่วนร่วมและการเชื่อมโยงชุมชน 4.4) ความเสมอภาค 4.5) การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน และ 4.6) การบูรณาการความหลากหลายทางวัฒนธรรม แนวทางการประเมินรูปแบบ และปัจจัยแห่งความสำเร็จ 2) รูปแบบ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ <br />3) องค์ประกอบการพัฒนาสุขภาพองค์การ 4) แนวทางการพัฒนาสุขภาพองค์การตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน 5) แนวทางการประเมินรูปแบบ และ 6) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ มีความเหมาะสมทุกองค์ประกอบ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบมีความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1765 การศึกษาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 2025-04-14T17:27:31+07:00 ทัศน์วรรณ์ ไชยมณี tassawan.pongkraw@gmail.com ณัฐวุฒิ สัพโส Tassawan.pongkraw@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้<strong> </strong>เชิงรุกของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 2) เปรียบเทียบสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียน<strong> </strong>ขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำนวน 191 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 41 ข้อ ประกอบด้วยองค์ประกอบสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำนวน 4 ด้าน สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าทีของกลุ่มไม่อิสระ (t-test) และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนด้วยสถิติดทดสอบเอฟ (F-test) กรณีพบความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จะทำการทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดและประเมินผล รองลงมาคือด้านการใช้และพัฒนาสื่อการเรียนรู้ และ ด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการออกแบบการเรียนรู้ 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 จำแนกตามเพศ และวุฒิการศึกษา โดยภาพรวม พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 จำแนกตามประสบการณ์การสอน โดยภาพรวม พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อเปรียบเทียบรายด้าน มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งหมด 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการออกแบบการเรียนรู้ และด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ </p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1768 ทักษะการนิเทศของผู้บริหารที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล 2025-04-15T21:33:25+07:00 กนกวรรณ จุลฉีด kanokwan.jun039@hu.ac.th นิรันดร์ จุลทรัพย์ kanokwan.jun039@hu.ac.th <p>ทักษะการนิเทศของผู้บริหารที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1772 การศึกษาพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2025-04-16T15:35:10+07:00 ประภาภัทร ปิยวาจานุสรณ์ vanida.p@rumail.ru.ac.th นวลละออ อานามวัฒน์ vanida.p@rumail.ru.ac.th วนิดา พิมพ์โคตร vanida.p@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างที่เลือกแบบเจาะจงเป็นผู้สูงอายุที่บริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด กับพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุ ด้วยค่าไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ประจำต่อเดือน ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ และความสนใจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนปัจจัยด้านอาชีพและจำนวนสมาชิกในครอบครัว ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุ ในขณะที่ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา การส่งเสริมการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย และผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1776 บทบาทการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี 2025-04-17T14:42:50+07:00 นันทวุฒิ เดชฟุ้ง Nantawoot.det@gmail.com เสริมทรัพย์ วรปัญญา Nantawoot.det@gmail.com บุณยานุช เฉวียงหงส์ Nantawoot.det@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี และ 2) เปรียบเทียบบทบาทการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี โดยจำแนกตามเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี ประจำปีการศึกษาที่ 2566 แบ่งเป็น ผู้บริหาร 61 คน และครู 1,149 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,210 คน กลุ่มตัวอย่างที่ทำการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้สูตรของยามาเน่ <br />ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 301 คน โดยกำหนดสัดส่วนผู้บริหารสถานศึกษาและครูเป็น 15<strong>:</strong>85 ได้ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 45 คน และครูจำนวน 256 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.963 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) ผลการเปรียบเทียบบทบาทการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระบุรี จำแนกตามประสบการณ์ทำงานพบว่าในภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนเมื่อจำแนกตามเพศ และอายุ ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1774 แนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2025-04-17T14:38:42+07:00 อุษา ปรีชาญาณ usap66@nu.ac.th อ้อมธจิต แป้นศรี Usap66@nu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษและแนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษา เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่แบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในการบริหารและพัฒนาครูการศึกษาพิเศษ จำนวน 5 คน ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการทำงานเป็นทีม</li> <li>2. แนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของครูการศึกษาพิเศษ พบว่า ผู้บริหารควรจัดอบรมพัฒนาครูเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน ส่งเสริมให้ครูเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ยกย่องเชิดชูเกียรติครูที่มีผลการปฏิบัติเป็นเลิศเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาครูให้มีทักษะการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและภาคีเครือข่าย สนับสนุนให้ครูพัฒนาองค์ความรู้คิดค้นนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน</li> </ol> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1782 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2025-04-17T19:51:58+07:00 ภูริณัฐ กุลัพบุรี themikthemik4015@gmail.com อาคม อึ่งพวง themikthemik4015@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน รวมจำนวน 336 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นโดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) มีค่าเท่ากับ 1 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การพัฒนาเทคโนโลยี รองลงมาคือการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม และการริเริ่มสร้างสรรค์ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการกำหนดวิสัยทัศน์</li> <li>ประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการแก้ปัญหาภายในสถานศึกษา รองลงมาคือการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก และการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการศึกษา ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษา พบว่ามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r= .813) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1785 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดเลย 2025-04-18T13:17:49+07:00 ลภัสวรรณ โสภา Lapassawan.so@student.mbu.ac.th ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ chissanapong.so@mbu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาศึกษา และระดับประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล&nbsp; 2) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล&nbsp; 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดเลย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 124 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนมาตรฐานสากล และประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2)&nbsp; ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r<sub>XY</sub> = 0.667) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมาตรฐานสากล จำนวน 3 ด้าน คือ การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (x<sub>2</sub>) การควบคุมและประเมินกลยุทธ์ (x<sub>3</sub>) และการกำหนดทิศทางองค์กร (x<sub>1</sub>) มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 43.20 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05&nbsp;</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1787 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร กับคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2025-04-20T17:11:45+07:00 วรรณศิกา สิงห์บ้านหาด wansika.nanny@gmail.com อาคม อึ่งพวง wansika.nanny@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ <strong>&nbsp;</strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน &nbsp;243 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane &nbsp;วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ&nbsp; เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเป็น 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า&nbsp;</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิในภาพรวม พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารงานและส่งเสริมด้านวิชาการ รองลงมา คือ ด้านการสนับสนุนการทำงานและการเรียนการสอน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตามด้านวิชาการ</li> <li class="show">คุณภาพของผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิในภาพรวม พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ผู้เรียนมีทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด และทักษะการทำงาน รองลงมา คือ ผู้เรียนมีคุณธรรมและจริยธรรม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1788 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร กับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2025-04-18T20:18:38+07:00 รเวก เรือนมาศ rawek.bp@banpaowittaya.org อดุลย์ พิมพ์ทอง rawek.bp@banpaowittaya.org วานิช ประเสริฐพร rawek.bp@banpaowittaya.org <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในสถานศึกษา 2) ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 243 คน ใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง และใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า5 ระดับ จำนวน 59 ข้อ โดยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในสถานศึกษามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 และความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมและด้านที่มีระดับการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2) ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันและด้านที่มีระดับการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ด้านการเป็นบุคคลรอบรู้ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1912 การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต ตามแนวคิดเชิงรุก 2025-05-19T15:03:35+07:00 พระมหาพิเชษฐ์ อตฺตานุรกฺขี mmike2557@gmail.com พระจักรพัชร์ จกฺกภทฺโท mmike2557@gmail.com บัญชา ธรรมบุตร mmike2557@gmail.com คชา ปราณีตพลกรัง mmike2557@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานและหาความต้องการในการพัฒนารูปแบบการสอน 2) เพื่อออกแบบและพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตตามแนวคิดเชิงรุก กลุ่มเป้าหมาย คือผู้เชี่ยวชาญด้านเขียนเชิงสร้างสรรค์ 10 คน นักศึกษาสาขาวิชาการสอนภาษาไทย 100 คน และผู้เชี่ยวชาญ 5 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัย 1) แบบวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 2) แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และ 3) แบบสอบถามเกี่ยวกับการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 4) ร่างรูปแบบการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตตามแนวคิดเชิงรุก 5) แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการสอน สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1. ความต้องการในการพัฒนารูปแบบการสอนประกอบด้วย&nbsp; &nbsp; 1) แนวคิด/ทฤษฎี การเขียนเชิงสร้างสรรค์ แนวคิดเชิงรุก 2) หลักการ 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอน 2. รูปแบบการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต ตามแนวคิดเชิงรุก ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน คือขั้นที่ 1 กระตุ้นแรงบันดาลใจ ขั้นที่ 2 กำหนดแนวทางการเขียนและสร้างโครงเรื่อง ขั้นที่ 3 เริ่มต้นเขียน ขั้นที่ 4 ปรับแต่งและพัฒนา ขั้นที่ 5 แสดงผลงาน และขั้นที่ 6 สะท้อนปรับปรุง และพบว่ารูปแบบการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต ตามแนวคิดเชิงรุกมีความเหมาะสมมาก</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jswn/article/view/1920 การพัฒนาเกมกระดานการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ 2025-05-22T19:35:54+07:00 ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี chaiyaset.p@rmutp.ac.th สุจิรา ไชยกุสินธุ์ Chaiyaset.p@rmutp.ac.th <p>&nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาเกมกระดานการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาที่ดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนของแผนการวิจัย ได้แก่ 1) การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติและการออกแบบเกมกระดาน 2) การสังเคราะห์องค์ประกอบการออกแบบเกมกระดานจากวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และ 3) การพัฒนาแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบบสอบถามถูกพัฒนาขึ้นในฐานะเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เชื่อมโยงกับผลการสังเคราะห์องค์ประกอบของการออกแบบเกมกระดาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเกมกระดานการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติต้นแบบสำหรับกลุ่มเยาวชน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักศึกษาสาขาบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งที่ลงทะเบียนเรียนในวิชาด้านการจัดการ จำนวนทั้งหมด 233 คน โดยมีผู้สมัครใจตอบแบบสอบถามและส่งคืนแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ผ่านทาง Google Form จำนวน 203 คน หลังจากนำผลการวิเคราะห์ทั้งสองส่วนมาเชื่อมโยงกันสามารถพัฒนาเกมกระดานต้นแบบที่ประกอบด้วย ตัวกระดานจำนวนทั้งหมด 48 ช่อง (รวมช่องเริ่มต้นและชัยชนะ) การ์ดที่ใช้ในการเล่นเกม 6 ประเภท รวม 60 ใบ ผู้เล่นเกมกระดานนี้สามารถเล่นได้จำนวน 2-4 คน เกมกระดานนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ครอบคลุมเรื่องน้ำท่วม แผ่นดินไหว และ พายุ และมีการกำหนดกติกาในการเล่นอย่างชัดเจน</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันตยาภิวัฒน์ วัดหนองนกกด