วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci <div class="card-text"><strong><img src="https://so16.tci-thaijo.org/public/site/images/journalrcisnru/jci-1c96cd7e856e73c1fce768506c8218f4.jpg" /></strong></div> <div class="card-text"><strong>วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร <br />Academic Journal of Curriculum and Instruction <br />Sakon Nakhon Rajabhat University</strong></div> <div class="card-text"> </div> <div class="card-text">วารสารฐาน TCI กลุ่ม 2 Thai Journal Citation Index (TCI) 2<br />ISSN : 2985-1963 (Print)<br />ISSN : 2985-1971 (Online)<br /><br /></div> <div class="card-text"><strong>วัตถุประสงค์</strong> <ul> <li>เพื่อเผยแพร่บทความทางวิชาการ งานวิจัย และบทความวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ</li> <li>เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการให้นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้สนใจได้เผยแพร่ความรู้ทางวิชาการงานวิจัยและผลงานสร้างสรรค์อื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสรรค์สร้างองค์ความรู้ทางด้านหลักสูตรและการสอนสู่สังคม</li> </ul> <p><strong>ขอบเขต</strong></p> <p>รับตีพิมพ์บทความทางการศึกษา การเรียนการสอน อาทิเช่น หลักสูตรและการสอน (Curriculum and Instruction) วิจัยหลักสูตรและการสอน (Research of Curriculum and Instruction) การวัดและประเมินผลการศึกษา (Measurement and Evaluation) การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Research and Development) วิทยาศาสตรศึกษา (Science Education) การสอนวิทยาศาสตร์ (Teaching Science) การสอนคณิตศาสตร์ (Mathematics) การวิจัยและพัฒนาการศึกษา (Educational Research and Development) การสอนภาษาอังกฤษ (Teaching English) การสอนสังคมศึกษา (Teaching Social Studies) และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา (Other)</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่: 3 ฉบับ/ปี</strong><br />ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน เผยแพร่ พฤษภาคม<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม เผยแพร่ กันยายน<br />ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม เผยแพร่ มกราคม</p> <p><strong>ประเภทของการ Peer Review</strong></p> <p>ผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และ ผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Double-blind peer review)</p> <p><strong>ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ</strong></p> <p>ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินบทความ (Peer Review) จำนวน 3 ท่านต่อบทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียม</strong><br />เปิดรับบทความทั้งจากบุคคลภายในและบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร <br />บุคคลภายใน ต้องชำระค่าขอตีพิมพ์ในวารสาร 2,500 บาท ต่อ 1 บทความ <br />บุคคลภายนอก ต้องชำระค่าขอตีพิมพ์ในวารสาร 3,000 บาท ต่อ 1 บทความ</p> </div> th-TH journal.rcisnru@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.สำราญ กำจัดภัย) journal.rcisnru@gmail.com (นางสาวศิวาภรณ์ เก่งสุวรรณ์) Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การประเมินแบบเก่าในโลกใหม่: ปรับตัวอย่างไรให้ตอบโจทย์ผู้เรียนยุคดิจิทัล https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2160 <p>บทความวิชาการเรื่อง “การประเมินแบบเก่าในโลกใหม่: ปรับตัวอย่างไรให้ตอบโจทย์ผู้เรียนยุคดิจิทัล” มุ่งวิเคราะห์ปัญหา ข้อจำกัด และผลกระทบของระบบการประเมินผลการเรียนรู้แบบดั้งเดิมในบริบทของการศึกษาศตวรรษที่ 21 ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ความหลากหลายของผู้เรียน และความจำเป็นในการพัฒนาผู้เรียนเพื่อให้เกิดทักษะที่หลากหลาย โดยชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการประเมินแบบเน้นการสอบ การให้คะแนนเชิงปริมาณ และการมองผู้เรียนจากผลการทดสอบปลายภาคเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่สามารถสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงและพัฒนาการรอบด้านของผู้เรียนได้อย่างครบถ้วน บทความได้นำเสนอการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก “การประเมินเพื่อการตัดสิน” (Assessment of Learning) ไปสู่ “การประเมินเพื่อการเรียนรู้” (Assessment for Learning) และ “การประเมินเป็นการเรียนรู้” (Assessment as Learning) โดยเสนอแนวทางการประเมินสมัยใหม่ อาทิ การประเมินแบบองค์รวม (Holistic Assessment) การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) การประเมินโดยผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered Assessment) การประเมินทางเลือก (Alternative Assessment) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบการจัดการเรียนรู้ (LMS) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ ติดตาม และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนได้แบบเรียลไทม์ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ความยืดหยุ่น และความเป็นธรรมในการประเมินผลการเรียนรู้</p> <p> นอกจากนี้ บทความยังสะท้อนปัญหาด้านภาระงานครูผู้สอน ความเข้าใจในการวัดผลที่ยังไม่ครอบคลุม และการขาดเครื่องมือที่มีคุณภาพทางวิชาการ ส่งผลให้การประเมินไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้อย่างแท้จริง จึงเสนอให้การประเมินเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่บูรณาการกับการจัดการเรียนการสอน และเน้นข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุงวิธีการสอนอย่างเหมาะสมกับผู้เรียนรายบุคคล โดยสรุป บทความนี้มุ่งอธิบายความท้าทายของการประเมินผลแบบดั้งเดิมที่ยังพึ่งพาการสอบปลายภาคและการให้คะแนนเชิงปริมาณ ซึ่งไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงและทักษะรอบด้านของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและความหลากหลายของผู้เรียน และเสนอการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปสู่การประเมินเพื่อพัฒนาและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ โดยเน้นการประเมินแบบองค์รวม ประเมินตามสภาพจริง ประเมินทางเลือก และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อวิเคราะห์ ติดตาม และให้ข้อมูลย้อนกลับทันที ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ความยืดหยุ่น และความเป็นธรรม ตลอดจนสะท้อนปัญหาภาระงานครูผู้สอนและเครื่องมือประเมินที่ยังไม่ครบถ้วน ควรให้การประเมินเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่บูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการยุคดิจิทัล</p> นภัสมน สุขจร, สุทธิชัย แสนท้าว, อิสฬิยาภรณ์ วรกิตตนนท์, กฤตภาส วงค์มา, สำราญ กำจัดภัย, ธนานันต์ กุลไพบุตร, พัทธนันท์ ชมภูนุช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2160 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เรื่อง การซื้อของ เพื่อพัฒนาความสามารถในการฟังและการพูดภาษาญี่ปุ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1487 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เรื่อง การซื้อของ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 แผนการเรียนภาษาญี่ปุ่น โรงเรียนมุกดาวิทยานุกูล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำแนกออกเป็นความสามารถในการฟังและความสามารถในการพูด และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มไม่อิสระกัน (Dependent Samples t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เรื่อง การซื้อของ เพื่อพัฒนาความสามารถในการฟังและการพูดภาษาญี่ปุ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 83.00/77.93 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 75/75</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกได้ดังนี้<br />2.1 ความสามารถในการฟังภาษาญี่ปุ่น ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />2.2 ความสามารถในการพูดภาษาญี่ปุ่น ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.48, S.D. = 0.65)</li> </ol> ทนงศักดิ์ ดวงหม่อง, วิจิตรา วงศ์อนุสิทธิ์, สำราญ กำจัดภัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1487 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้ โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษาของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาไทย https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1731 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษาของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาไทย และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษาของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาไทย กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาครูชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ที่ลงทะเบียนรายวิชานันทนาการทางภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษา แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิปัญญาทางภาษาและการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้ แบบประเมินสมรรถนะสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษา และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีชนิดกลุ่มไม่อิสระกัน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li>รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษาของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาไทยที่พัฒนาขึ้น มีชื่อเรียกว่า “MCDIT Model” ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการพัฒนาสมรรถนะ ซึ่งมี 5 ขั้นตอน คือ (1) จัดการความรู้ภูมิปัญญาทางภาษา (Managing linguistic knowledge: M) (2) พิจารณาตัวชี้วัดอ่านออกเขียนได้ (Consider literacy indicators: C) (3) ออกแบบสื่อใช้ภูมิปัญญาบูรณาการ (Design media using integrated wisdom: D) (4) ผสมผสานกิจกรรมลงแผนการจัดการเรียนรู้ (Integrate activities into learning management plans: I) (5) ทดลองสอนดูเพื่อปรับปรุงพัฒนา (Try teaching to improve and develop: T) และ 4) บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง การประเมินผล และปัจจัยสนับสนุน โดยที่รูปแบบนี้ผ่านการรับรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ</li> <li>ผลการศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้พื้นฐานของนักศึกษาเกี่ยวกับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้หลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สมรรถนะการจัดการเรียนรู้อ่านออกเขียนได้โดยบูรณาการภูมิปัญญาทางภาษาของนักศึกษาในภาพรวมอยู่ที่ระดับมาก และนักศึกษา มีความคิดเห็นทางบวกต่อรูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> ปริญญา ปั้นสุวรรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1731 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลและแนวทางการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1741 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ 2) สร้างสมการพยากรณ์ ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำนวน 263 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) และสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 7 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบทดสอบความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ จำนวน 10 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .63 2) แบบทดสอบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .64 3) แบบวัดมี 3 ฉบับ ได้แก่ แบบวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ แบบวัดคุณภาพการสอนของครูคณิตศาสตร์ แบบวัดการส่งเสริมการเรียนจากครอบครัว มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .814, .743 และ .706 ตามลำดับ และ 4) แบบสัมภาษณ์แนวทาง การพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression)<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ ความรู้พื้นฐานทางเดิมคณิตศาสตร์ (X1) และมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ (X5) โดยอธิบายความผันแปรความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ (Y) ได้ร้อยละ 51.60 <br />2. สมการพยากรณ์ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 เป็นดังนี้<br />สมการในรูปคะแนนดิบ Y ′ = -3.684 + .101X1 + .271X5<br />สมการในรูปคะแนนมาตรฐาน Z ′y = .494ZX1 + .319 ZX5<br />3. แนวทางการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ 1) ออกแบบการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิต ประจำวัน 2) สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน 3) ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ 4) พัฒนาครูและใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสอน และ 5) ปรับปรุงการประเมินผลให้สะท้อนความสามารถของผู้เรียน</p> ภควิชญ์ สระสงคราม, วนิดา หอมจันทร์, กระพัน ศรีงาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1741 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1897 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและประเมินชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) ศึกษาผลการทดสอบความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเสาไห้ “วิมลวิทยานุกูล” ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 7 ชุด 2) แบบทดสอบวัดความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมผ่านเว็บเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดกลุ่มเดียว (One sample t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพด้านเนื้อหาและองค์ประกอบของชุดกิจกรรมผ่านเว็บทั้ง 7 บทเรียน และคุณภาพด้านเว็บไซต์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยของความฉลาดรู้ทางคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความคิดเห็นทางบวกต่อการใช้ชุดกิจกรรมผ่านเว็บโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด</p> อิสริยาภรณ์ เศวตรพนิต, วิภารัตน์ มูสิกะเจริญ, สิทธิกร สุมาลี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1897 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การใช้แพลตฟอร์มสร้างเกมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1757 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แพลตฟอร์มสร้างเกมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัด 2) ศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อการใช้แพลตฟอร์มสร้างเกมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 32 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้แพลตฟอร์มสร้างเกม จำนวน 4 แผน รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยที่มีคำตอบถูกหรือผิด จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้ผ่านการวิเคราะห์ความสอดคล้อง (IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (T-test for Dependent samples)<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัดโดยการใช้แพลตฟอร์มสร้างเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความคิดเห็นที่มีต่อการใช้แพลตฟอร์มสร้างเกมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความสัมพันธ์หน่วยการวัดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ภัทรา อุ่นทินกร, พัชรพร ศุภกิจ, พรภิรมย์ หลงทรัพย์, สุมน ไวยบุญญา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1757 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถด้านการพูดนำเสนอโดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย สำหรับนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1677 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดนำเสนอโดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดียสำหรับนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดนำเสนอ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย สำหรับนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดนำเสนอ ของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับชั้นประกาศนัยบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการบัญชี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร สถาบันการอาชีวภาคเหนือ 4 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักศึกษา จำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) สื่อมัลติมีเดีย 3) แบบประเมินความสามารถด้านการพูดนำเสนอ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Wilcoxon Signed Rank Test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดียมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.93, S.D. = 0.13)</li> <li>ความสามารถด้านการพูดนำเสนอของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดียอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.73, S.D. = 0.51)</li> </ol> กัญญาณัฐ สุริยะ, ทรงภพ ขุนมธุรส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1677 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1671 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน 2) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน 2) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน โดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t- test dependent และ One sample t-test<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน พบว่า ก่อนเรียนและหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.45 (S.D. = 3.080) และ 23.32 (S.D. = 2.973) ตามลำดับ โดยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. ทักษะการคิดวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ของนักเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน พบว่า มีผลการทดสอบสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับเพลงไทยในยุคปัจจุบัน ภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.56, S.D. = 0.55)</p> ธาวิน สุธรรมรักขติ, กาญจนา วิชญาปกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1671 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นสาระประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งความรู้เรื่องถั่วลายเสือเป็นฐาน วิชาสังคมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1917 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นสาระประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งความรู้เรื่องถั่วลายเสือเป็นฐาน วิชาสังคมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนตามหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกุงไม้สัก มิตรภาพที่ 98 อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 10 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ หลักสูตรท้องถิ่นสาระประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งความรู้เรื่องถั่วลายเสือเป็นฐาน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนตามหลักสูตร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มไม่อิสรกัน (Dependent Samples t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้นสามารถบูรณาการแหล่งความรู้เรื่องถั่วลายเสือ กับสาระการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อหามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้จริงและมีความเข้าใจเนื้อหาในเชิงลึกมากขึ้น 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนตามหลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนตามหลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู้ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.86, S.D. = 0.36)</p> พศิน ตาไฝ, ภัสราภรณ์ นันตากาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1917 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาและการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน ของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1862 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 2) ศึกษาระดับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 และ 3) เปรียบเทียบการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จำนวน 92 โรงเรียน ซึ่งได้มาจากการเลือกตัวอย่างโดยใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามชนิดมาตรประเมินค่า 5 ระดับ โดยมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับที่ระดับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ One-Way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.55, S.D. = 0.60) 2) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.64, S.D. = 0.52) และ 3) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ที่มีขนาดแตกต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ธีรโชติ โลกธาตุ, ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1862 Sun, 27 Sep 2020 00:00:00 +0700 บทเรียนออนไลน์แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีการเสริมศักยภาพทางการเรียนเพื่อส่งเสริม การคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1668 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีการเสริมศักยภาพทางการเรียน เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) ทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นตามเกณฑ์ของ Meguigans 3) เพื่อเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น กับนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดแก้ปัญหา และ 5) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จำนวน 79 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 39 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ที่มีการเสริมศักยภาพทางการเรียน 2) แบบทดสอบการคิดแก้ปัญหา 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพบทเรียนตามเกณฑ์แมคกุยแกน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการทดสอบทีแบบอิสระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนออนไลน์แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีการเสริมศักยภาพทางการเรียน เพื่อส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาที่พัฒนาขึ้น ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ ระบบการจัดการเรียนรู้ เนื้อหาบทเรียน การติดต่อสื่อสาร และการประเมินผล เนื้อหาบทเรียนนำรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 6 ขั้นตอน คือ กำหนดปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา ดำเนินการศึกษาค้นคว้า สังเคราะห์ความรู้ สรุปและประเมินค่าคำตอบ นำเสนอและประเมินผลงาน มาออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีการเสริมศักยภาพทางการเรียนอยู่ในรูปแบบของฐานการช่วยเหลือ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความคิดรวบยอด ด้านความคิด ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านกลยุทธ์ ซึ่งบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) การหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น พบว่า มีค่าเท่ากับ 1.01 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของแมคกุยแกน 3) การเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนโดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก และ 5) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีการเสริมศักยภาพทางการเรียนที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับปานกลาง</p> ทินกร วงค์คำ, สนิท ตีเมืองซ้าย, ทรงศักดิ์ สองสนิท ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1668 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมการกำกับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โครงสร้างทาง อิเล็กตรอนของอะตอม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1927 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมการกำกับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โครงสร้างทางอิเล็กตรอนของอะตอม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ให้มีประสิทธิภาพ 75/75 2) เปรียบเทียบการกำกับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร จังหวัดสกลนคร จำนวน 15 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติ แบบวัดการกำกับตนเอง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมการกำกับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โครงสร้างทางอิเล็กตรอนของอะตอม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มีองค์ประกอบดังนี้ 1) แนวคิดและทฤษฎีการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 3) เนื้อหา 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 5) การวัดและประเมินผล และ 6) บทบาทผู้สอนกับผู้เรียน และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.17/77.60 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้</li> <li>การกำกับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี หลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>นักศึกษาระดับปริญญาตรีมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกออนไลน์ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก</li> </ol> พิเชษฐ เทบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1927 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยใช้รูปแบบ การคิดขั้นสูง GPAS 5 Steps ร่วมกับกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1980 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยใช้รูปแบบการคิดขั้นสูง GPAS 5 Steps ร่วมกับกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2) ตรวจสอบประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นกับเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 50 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น 4) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ 5) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนส่องดาววิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test ชนิด dependent samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับร้อยละ 82.71/84.51 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80/80 ที่ตั้งไว้</li> <li>ดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับร้อยละ 74.24 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 50 ที่ตั้งไว้</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.71, S.D. = 0.51)</li> </ol> ไกรพิชญ์ ภูพิธาร, ธนานันต์ กุลไพบุตร, สำราญ กำจัดภัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1980 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะการสื่อสาร ด้วยการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับ เทคนิคซินเนคติกส์ เรื่อง การแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2044 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับเทคนิคซินเนคติกส์ เรื่อง การแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ และ 2) วิเคราะห์สมรรถนะการสื่อสารที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับเทคนิคซินเนติกส์ เรื่อง การแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 32 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับเทคนิคซินเนคติกส์ จำนวน 5 แผน ซึ่งประเมินคุณภาพของแผนโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน และ 2) แบบทดสอบการวัดการแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับเทคนิคซินเนคติกส์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.58 คะแนน มีคุณภาพในระดับมากที่สุด 2. ผลการวิเคราะห์สมรรถนะการสื่อสารของนักเรียน พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนอยู่ที่ 14.97 คะแนน ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 9.19 คะแนน และผลคะแนนจากการทำแบบกิจกรรมระหว่างเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 12.09 คะแนน แสดงให้เห็นว่านักเรียนสามารถถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ความคิด และความรู้สึกผ่านกระบวนการเขียนอย่างสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ในด้านการพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.63 คะแนน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 8.63) นักเรียนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ กระชับ ตรงประเด็น เข้าใจง่าย และใช้สื่อรวมถึงภาษาท่าทางประกอบได้เหมาะสม จึงกล่าวได้ว่า การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะร่วมกับเทคนิคซินเนคติกส์สามารถพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> กัญฐิมา ปานเพชร, กุณฑิกา ชาพิมล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2044 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อช่วยลดการเขียนคำผิดในภาษาไทย https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1939 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและสำรวจการเขียนคำผิดในภาษาไทยของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อช่วยลดการเขียนคำผิด 3) ประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ 4) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่เรียนผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ และ 5) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนผ่านนวัตกรรมดังกล่าว โดยใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จากนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 212 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา GE10301 และ GE11001 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อช่วยลดการเขียนคำผิดในภาษาไทย แบบสำรวจการเขียนคำผิดในภาษาไทย แบบประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีสองกลุ่มที่สัมพันธ์กัน (Dependent Samples t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คำภาษาไทยที่มักเขียนผิด จำนวน 200 คำ วิเคราะห์สาเหตุการเขียนผิด แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ การใช้แนวเทียบผิด ไม่ทราบความหมายของคำ ใช้พยัญชนะ วรรณยุกต์ หรือการันต์ผิด และไม่รู้หลักเกณฑ์คำทับศัพท์ 2) นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อลดการเขียนคำผิดในภาษาไทย ที่พัฒนา เป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบแอปพลิเคชันมัลติมีเดีย โดยใช้โมเดล ADDIE มี 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ แนวเทียบ ความหมายของคำ การใช้พยัญชนะ วรรณยุกต์และการันต์ และคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่ละหน่วย ประกอบด้วยเนื้อหา สื่อมัลติมีเดีย และแบบฝึกหัด 3) ประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ ที่พัฒนาจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.50, S.D. = 0.55) 4) ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่เรียนผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนา พบว่า ค่าเฉลี่ยการเขียนคำผิดของผู้เรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 23.75, p &lt; 0.001) และ 5) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.29, S.D. = 0.65)</p> อรวรรณ ปริวัตร, ทองปาน ปริวัตร, รัชดา ภักดียิ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1939 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสาร ของเด็กปฐมวัย https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2070 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กปฐมวัย และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัย ราชภัฏสกลนคร จังหวัดสกลนคร สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 1 ห้องเรียน จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติ จำนวน 24 แผน และแบบวัดความสามารถในการสื่อสารของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) ด้านการฟัง 2) ด้านการสนทนาโต้ตอบ ซักถาม 3) ด้านการเล่าเรื่องราว ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One–Group Pretest–Posttest Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test Dependent for Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วยกระบวนการจัดกิจกรรม 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นนำ 2) ขั้นดำเนินกิจกรรม แบ่งรูปแบบการดำเนินกิจกรรมดังนี้ วันที่ 1 การเล่านิทาน วันที่ 2 การสำรวจเลือกสื่อธรรมชาติ วันที่ 3 การถ่ายทอดเรื่องราวจากสื่อธรรมชาติ และ 3) ขั้นสรุป</li> <li>ความสามารถในการสื่อสารของเด็กปฐมวัยหลังจัดกิจกรรมเล่านิทานจากสื่อธรรมชาติสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> ภัทรปภา เหมะธุลิน, พีระพร รัตนาเกียรติ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2070 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์ที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผล ทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1981 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์ และ 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวัดคลองงิ้ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท จำนวน 14 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม เป็นแบบทดสอบอัตนัยชนิดเขียนตอบ จำนวน 6 ข้อ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบกลุ่มไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (One Sample T-test)<br />ผลการศึกษาพบว่า<br />1. ความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />2. ความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนมโนทัศน์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อาชานนท์ ทัพวัตร์, บัณฑิตา อินสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1981 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการกำกับตนเอง ของเด็กปฐมวัย https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2069 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษ ที่มีต่อความสามารถในการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จังหวัดสกลนคร สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 1 ห้องเรียน จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษ จำนวน 24 แผน และแบบสังเกตพฤติกรรมการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) ด้านจดจ่อใส่ใจ 2) ด้านควบคุมอารมณ์ และ 3) ด้านติดตามประเมินตนเอง ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One–Group Pretest–Posttest Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test for Dependent Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษเพื่อส่งเสริมความสามารถในการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นนำ การเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มทำกิจกรรม 2) ขั้นดำเนินกิจกรรม การเลือกทำกิจกรรมภายใต้ข้อตกลง และ 3) ขั้นสรุป การนำเสนอผลงาน</li> <li>ความสามารถในการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัยหลังจัดกิจกรรมศิลปะจากการม้วนกระดาษสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> ณัฐธิฌา ไชยจักร์, พีระพร รัตนาเกียรติ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/2069 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสามารถและลีลาการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1572 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) ศึกษาลีลาการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม และ 3) เปรียบเทียบเจตคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนนามนราษฎร์สงเคราะห์ อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก 3) แบบวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ 4) แบบสัมภาษณ์แบบไร้โครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบกลุ่มไม่อิสระ (t-test Dependent Samples) การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (One sample t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกระบอก หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. ลีลาการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนมีการใช้ลีลาการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบที่ 1 PSW อยู่ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 84.21) โดยมีการใช้ประเภทแสดงความคิดเห็นทางคณิตศาสตร์ ดังนี้ 1) รูปภาพหรือแผนภาพ (P) 2) สัญลักษณ์ทางการพูด (S) และ 3) สัญลักษณ์การเขียน (W) และนักเรียนมีลีลาการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบที่ 2 RPSW อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 73.68) โดยมีการใช้ประเภทแสดงความคิดเห็นทางคณิตศาสตร์ ดังนี้ 1) สถานการณ์ในชีวิตจริง (R) 2) รูปภาพหรือแผนภาพ (P) 3) สัญลักษณ์ทางการพูด (S) และ 4) สัญลักษณ์ทางการเขียน (W) เมื่อจำแนกลีลาการเรียนรู้ตามรูปแบบการแปลงของเลช (Lesh translation model) พบว่านักเรียนมีการแสดงแทนความคิดทางคณิตศาสตร์ประเภทการใช้รูปภาพหรือแผนภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด <br />3. เจตคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับสื่อประสม สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อัจฉราพร ประสงค์สุข, อรชพร ซุยพิมพ์, ปนัดดา สังข์ศรีแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/jci/article/view/1572 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700