การอ่านภาษาอังกฤษ: ความท้าทายใหม่ผ่านกลวิธีการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัล
คำสำคัญ:
การอ่านภาษาอังกฤษ, กลวิธีการอ่าน, เทคโนโลยีดิจิทัล, จักรกลแห่งการเรียนรู้, ปัญญาประดิษฐ์บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการอ่านภาษาอังกฤษในยุคดิจิทัล โดยมีจุดมุ่งหมายหลักสามประการ ได้แก่ (1) เปรียบเทียบกลวิธีการอ่านแบบดั้งเดิมกับกลวิธีการอ่านแบบดิจิทัล (2) ศึกษาข้อดีและความท้าทายของการใช้เทคโนโลยีในการอ่านภาษาอังกฤษ และ (3) เสนอแนวทางพัฒนาทักษะการอ่านให้มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล
ผลการศึกษาพบว่า (1) การอ่านแบบดั้งเดิมส่งเสริมการใช้สมาธิและการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาได้ดีกว่า เนื่องจากผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับสื่อสิ่งพิมพ์ผ่านการจดบันทึก ขีดเน้น และทบทวนเนื้อหา ในขณะที่การอ่านแบบดิจิทัล แม้จะมีข้อดีด้านการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกรวดเร็ว แต่ผู้อ่านมักมีสมาธิสั้นลงและมีส่วนร่วมกับเนื้อหาน้อยกว่า เนื่องจากสิ่งเร้าและการรบกวนต่าง ๆ จากสื่อดิจิทัล (2) ข้อดีของการอ่านยุคดิจิทัลคือการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย แต่มีความท้าทายสำคัญ คือผลกระทบต่อสุขภาพตาจากการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน และความเสี่ยงจากการได้รับข้อมูลมากเกินไปจนขาดการกลั่นกรองและวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ และ (3) แนวทางการพัฒนาทักษะการอ่านในยุคดิจิทัลควรเน้นการใช้กลยุทธ์การอ่านเชิงรุก เช่น การตั้งเป้าหมาย การวิเคราะห์เนื้อหาอย่างวิจารณญาณ และการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล พร้อมกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การจัดแสง การพักสายตา และการใช้เครื่องมือดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบเชิงลบในการอ่าน
References
กนกพร สิทธิชัยวรบุตร, ศศิพิมล ประพินพงศกร และแววตา เตชาทวีวรรณ. (2564). พฤติกรรมการอ่านดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ. วารสารรังสิตสารสนเทศ, 27(2), 117-138.
เกียรติศักดิ์ พันธ์ลำเจียก, วรปภา อารีราษฎร์ และธรัช อารีราษฎร์. (2566). การพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลแบบปรับเหมาะสำหรับผู้เรียนระดับอุดมศึกษา. วารสารวิชาการการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 10(1), 11-22.
จตุพร วิระวณิช. (2561). การส่งเสริมการเรียนรู้การอ่านในยุคดิจิทัล: ผลกระทบและข้อเสนอแนะในการพัฒนาทักษะการอ่าน. วารสารการบริหารและการจัดการการศึกษา, 2(1), 45-60.
จิราภรณ์ คงประเสริฐ. (2562). การสร้างบรรยากาศการอ่านที่มีประสิทธิภาพ. วารสารการศึกษาและการเรียนรู้, 10(1), 45-56.
ธนพร คงถาวร. (2564). การใช้กลยุทธ์การอ่านแบบดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนไทย. วารสารการวิจัยทางการศึกษา, 6(1), 55-70.
ธนวรรณ นิธิอุทัย, วิมล เหมือนคิด และสมศักดิ์ ลิลา. (2566). การพัฒนารูปแบบการจัดการเนื้อหาดิจิทัลแบบปรับเหมาะสำหรับการเรียนรู้ออนไลน์. วารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, 19(2), 45-62.
ปิยวรรณ ศิริรัตน์. (2564). เทคนิคการอ่านเพื่อความเข้าใจในยุคดิจิทัล. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, 11(2), 156-167.
ปิยะนุช เงินคล้าย. (2566). การพัฒนาทักษะการอ่านเชิงรุกของนักศึกษาระดับปริญญาตรี. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 25(2), 286-299.
พรรณทิพย์ มหัทธนา. (2565). การอ่านในยุคดิจิทัล: ข้อดีและความท้าทายในการศึกษา. วารสารการศึกษาและการพัฒนา, 7(2), 98-112.
สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ, ปรียานุช พรหมภาสิต และพิมพ์ประภา พาลพ่าย. (2567). การพัฒนารูปแบบการออกแบบหลักสูตรดิจิทัลแบบผสมผสานสำหรับการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล. วารสารศึกษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 52(1), 78-94.
สุทธิมนต์ พงศ์ภัทร. (2561). การอ่านในยุคดิจิทัล: เทคนิคและกลยุทธ์สำหรับนักเรียน. วารสารการศึกษาปฐมวัย, 15(2), 23-34.
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2563). การอ่านและการเขียนเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วิจิตรา นาคบรรพต. (2564). การใช้หนังสือเสียงในการเรียนภาษาอังกฤษ: การศึกษาเชิงประยุกต์. วารสารการศึกษาภาษาอังกฤษ, 3(3), 120-135.
วิชุดา รัตนเพียร. (2565). การพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Annotation. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 24(3), 200-212.
วิมลมาศ ปรีชากุล, สุพจน์ ศรีนุตพงษ์ และธนรัตน์ แต้วัฒนา. (2567). การพัฒนารูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้ดิจิทัลแบบผสมผสานสำหรับการศึกษาไทยยุคใหม่. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 26(1), 156-171.
อัจฉรา ประดิษฐ์. (2566). การใช้เทคนิค Visualization เพื่อพัฒนาความเข้าใจในการอ่าน. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, 15(1), 89-104.
Bawden, D., & Robinson, L. (2009). The dark side of information: Overload, anxiety, and other paradoxes and pathologies. Journal of Information Science, 35(2), 180-191.
Brown, A., & Smith, B. (2019). Integrating digital reading into the language curriculum. Journal of Language Learning, 45(3), 123-138.
Chen, Y. (2019). The application of AR and VR in education. Journal of Educational Technology, 15(2), 75-82.
Cortesão, L., Ferreira, F. J. T. E., & Silva, R. (2017). Paulo Freire's thinking and the 'sociocultural rainbow of the classroom. Revista Brasileira de Alfabetização, 5(1), 139-151.
Eppler, M. J., & Mengis, J. (2004). The concept of information overload: A review of literature from organization science, accounting, marketing, MIS, and related disciplines. The Information Society, 20(5), 325-344.
Fisher, E., Kaiser, B., Senthilselvan, A., & Koroluk, J. (2020). Healthy digital habits: An intervention to promote safe and healthy digital media use among adolescents. BMC Public Health, 20(1), 1-9.
Koehler, M. J., & Mishra, P. (2005). What happens when teachers design educational technology? The development of technological pedagogical content knowledge. Journal of Educational Computing Research, 32(2), 131-152.
Rosenfield, M. (2016). Computer vision syndrome (aka digital eye strain). Optometry in Practice, 17(1), 1-10.
Seale, J. (2013). E-learning and disability in higher education: Accessibility research and practice. New York, NY: Routledge.
Sheppard, A. L., & Wolffsohn, J. S. (2018). Digital eye strain: Prevalence, measurement and amelioration. BMJ Open Ophthalmology, 3(1), 110-146.
Van Deursen, A. J., & Van Dijk, J. A. (2019). The first-level digital divide shifts from inequalities in physical access to inequalities in material access. New Media & Society, 21(2), 354-375.
Zimmerman, B. J. (2002). Becoming a self-regulated learner: An overview. Theory into Practice, 41(2), 64-70.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.