วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">หลักเกณฑ์และคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์บทความ</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences </span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย มีนโยบายในการ ส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ และงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการ โดยครอบคลุมด้าน ปรัชญา ศาสนา รัฐศาสตร์ สังคมศึกษา รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ พัฒนศึกษา พัฒนาสังคม บริหารการศึกษา การศึกษา ภาษา วรรณกรรม และสหวิทยาการ กำหนดการตีพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ ออกราย 2 เดือน คือ เล่ม 1 มกราคม –กุมภาพันธ์ /เล่ม 2 มีนาคม – เมษายน /เล่ม 3 พฤษภาคม – มิถุนายน /เล่ม 4 กรกฎาคม - สิงหาคม /เล่ม 5 กันยายน - ตุลาคม /เล่ม 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 5 ประเภท คือ</span></p> <ol> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความพิเศษ บทความทางวิชาการพิเศษ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้น และผ่านการอ่านและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการวิชาการ/วิชาชีพ</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความทางวิชาการ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาหรือประชาชนทั่วไป</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ รายงานผลงานวิจัยใหม่ที่มีองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดๆมาก่อน</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ และวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้น โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกัน</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่ บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปล ย่อความจากวารสารต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะนำเครื่องมือใหม่ ตำรา หรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ หรือข่าวการประชุมทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ</span></li> </ol> <p><span style="vertical-align: inherit;">ซึ่งบทความที่จะนำมาตีพิมพ์ในวารสารจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ ( Peer review) ซึ่งปกติจะมี Double Blind (ผู้พิจารณา 3 คน) ทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆการเตรียมต้นฉบับที่จะมาลงตีพิมพ์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับบทความ และการสมัครสมาชิก</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สำนักงานวารสารเมธีวิจัย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">เลขที่ 555/4 หมู่ที่ 11 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">อีเมล์: chakkree_2532@hotmail.com </span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">อาจารย์ ดร.จักรี ศรีจารุเมธีญาณ โทรศัพท์ 080-7506846 </span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">1 ประเภทของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย ตีพิมพ์บทความประเภทต่าง ๆ ดังนี้</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.1 บทความพิเศษ บทความทางวิชาการพิเศษ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้น และผ่านการอ่านและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้น ๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการวิชาการ/วิชาชีพ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.2 บทความทางวิชาการ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาหรือประชาชนทั่วไป </span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.3 บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ รายงานผลงานวิจัยใหม่ที่มีองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ มาก่อน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.4 บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ และวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้น โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกัน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.5 ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่ บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปล ย่อความจากวารสารต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะนำเครื่องมือใหม่ ตำรา หรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ หรือข่าวการประชุมทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การส่งบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความที่จะตีพิมพ์ในวารสารเมธีวิจัย ต้องผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ และรอการตรวจสอบจากกองบรรณาธิการ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การตรวจสอบบทความและพิสูจน์อักษร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ผู้นิพนธ์ควรตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบของบทความที่วารสารกำหนด ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องแน่นอน พร้อมทั้งพิสูจน์อักษรก่อนที่จะส่งบทความนี้ให้กับบรรณาธิการ การเตรียมบทความให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสารจะทำให้การพิจารณาตีพิมพ์มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร</span></p> <p><strong> </strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">การเตรียมบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความต้องเป็นตัวพิมพ์ดีด โดยใช้ชุดแบบอักษร (font) ชนิดไทยสารบรรณ (TH Sarabun PSK) ขนาดอักษร 16 จัดกั้นหลังตรง และมีระยะห่างระหว่างบรรทัดหนึ่งช่อง (double spacing) ตลอดเอกสาร พิมพ์หน้าเดียวลงบนกระดาษ (A4) พิมพ์ให้ห่างจากขอบกระดาษ ด้านซ้าย และด้านขวา ขนาด 3.81 ซม. ด้านบน ขนาด 4.5 ซม. และด้านล่าง ขนาด 4.01 ซม. พร้อมใส่หมายเลขหน้ากำกับทางมุมขวาบนทุกหน้า บทความไม่ควรยาวเกิน 15 หน้ากระดาษพิมพ์ (A4) โดยนับรวมภาพประกอบและตาราง</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การพิจารณาและคัดเลือกบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind peer review)</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">2 บทคัดย่อ (Abstract)</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทคัดย่อควรมีความยาวไม่เกิน 350 คำ โดยแยกต่างหากจากเนื้อเรื่อง บทความวิจัย/วิชาการ ต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบทคัดย่อควรเขียนให้ได้ใจความทั้งหมดของเรื่อง ไม่ต้องอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง และ ให้มีเพียง 3 ส่วนเท่านั้น คือ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1) วัตถุประสงค์ ควรกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">2) ผลการวิจัยพบว่า ควรประกอบด้วยผลที่ได้รับจากการค้นคว้า ศึกษา และผลของค่าสถิติ (ในกรณีมีการวิเคราะห์)</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3) คำสำคัญ ควรมีคำสำคัญไม่เกิน 3 คำ ที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษาและจะปรากฏอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (Semicolon) (;)</span></p> <p><strong> </strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">3 เนื้อเรื่อง ควรประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทความวิจัย ประกอบด้วย</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.1 บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่าง ๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้งนี้</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัย รวมถึงรวบรวมหลักการ วิธีการ โดยมีรายละเอียดว่าจะต้องศึกษาอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล และเสนอผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.3 วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) เป็นการกำหนด วิธีการ กิจกรรม รายละเอียดของการวิจัย การศึกษาประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา และวิธีการศึกษาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งสถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.4 สรุปผลการวิจัย (Results) เป็นการแสดงผลที่ได้จากการศึกษาและวิเคราะห์ในข้อ 3.1.2 ควรจำแนกผลออกเป็นหมวดหมู่และสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาโดยการบรรยายในเนื้อเรื่องและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรือ แผนภูมิ ตามความเหมาะสม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.5 อภิปรายผลการวิจัย (Discussion) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ของผู้นิพนธ์ นำมาเปรียบเทียบกับผลการวิจัยของผู้อื่น เพื่อให้มีความเข้าใจหรือเกิดความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้น รวมทั้งข้อดี ข้อเสียของวิธีการศึกษา เสนอแนะความคิดเห็นใหม่ๆ ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.6 ข้อเสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.7 กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) (Acknowledgement) เป็นส่วนที่กล่าวขอบคุณต่อองค์กร หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือในการวิจัย รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนวิจัย และหมายเลขของทุนวิจัย</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.8 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA เวอร์ชั่น 6 (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเนื้อหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลายโดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆที่ง่ายต่อการศึกษาและการปฏิบัติ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">3.2 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทความวิชาการ ประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.1 บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่างๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้ง</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.2 เนื้อหา (Content) เรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการจะให้ผู้อ่านได้รับทราบ เนื้อหาที่ดีต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนและน่าสนใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางความคิดของผู้เขียนเป็นสำคัญ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.3 สรุป (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนบทความที่ผู้เขียนจะต้องเขียนให้เหลือเฉพาะส่วนที่มีความสำคัญ เป็นการกลั่นกรอง การรวบรวมหรือการลดข้อความให้เหลือส่วนที่สำคัญเท่านั้น</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.4 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ที่เป็นรูปแบบเดียวกัน</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">3.3 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทวิจารณ์หนังสือ ประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.1 ชื่อเรื่องของหนังสือ (Title) ให้ระบุทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.2 ชื่อผู้เขียนหนังสือ (Author) ให้ระบุชื่อเต็มทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษพร้อมระบุสถาบัน หรือหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.3 ชื่อผู้วิจารณ์ (Name of Reviews) ให้ระบุชื่อเต็มทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ พร้อมระบุสถาบัน หรือหน่วยงานของที่ผู้วิจารณ์สังกัด</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.4 เนื้อหาการวิจารณ์ (Reviews Content) ในการเขียนเกี่ยวกับหนังสือวิจารณ์ เนื้อเรื่องจะเป็นส่วนแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดในการวิจารณ์ โดยนำเสนอเรื่องราวจุดเด่น จุดบกพร่องของเรื่อง โดยทำการวิจารณ์หรือวิพากษ์อย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผลตามหลักวิชาการ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.5 สรุป (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนสรุปความคิดเห็นทั้งหมดที่วิจารณ์รวมถึงให้ข้อคิดหรือข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.6 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆที่เป็นรูปแบบเดียวกัน</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การเขียนเอกสารอ้างอิง</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">รายงานการวิจัย </span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน (ในกรณีภาษาไทย ใช้ชื่อและนามสกุล และในกรณีภาษาอังกฤษ ใช้นามสกุลและชื่อ). ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อย่อของวารสาร. เล่มที่พิมพ์ ฉบับที่พิมพ์: เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง. ในกรณีที่มีผู้เขียนมากกว่า 6 คน ให้ใส่รายชื่อผู้เขียนคนแรก แล้วตามด้วยคำว่า “และคณะ” หรือ “et al.”</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">หนังสือ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน (ในกรณีภาษาไทย ใช้ชื่อและนามสกุล และในกรณีภาษาอังกฤษ ใช้นามสกุลและชื่อ). ปีที่พิมพ์. ชื่อหนังสือ. สำนักพิมพ์. เมืองที่พิมพ์ : เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง. </span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">รายงานการประชุมและสัมมนา</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเอกสารรวมเรื่องที่ได้จากรายงานการประชุม. วัน เดือน ปีที่จัด : สถานที่จัด : สำนักพิมพ์ หรือผู้จัดพิมพ์. เลขหน้า.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">วิทยานิพนธ์/ ดุษฎีนิพนธ์/สารนิพนธ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ระดับวิทยานิพนธ์ : ชื่อสถาบันการศึกษา.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">บทความในหนังสือพิมพ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อหนังสือพิมพ์. เล่มที่พิมพ์ ฉบับที่พิมพ์: เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สัมภาษณ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์. วัน เดือน ปีที่สัมภาษณ์. ตำแหน่ง (ถ้ามี).</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สื่ออิเล็กทรอนิกส์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อเว็บไซต์. วัน เดือน ปีที่สืบค้น. ได้มาจาก ชื่อ website.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">4 ภาพประกอบ (Figure) และส่วนตาราง (Table)</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ภาพประกอบและตารางควรมีเท่าที่จำเป็น โดยพิมพ์หน้าละ 1 ภาพ หรือ 1 ตารางสำหรับคำบรรยายภาพและตารางให้พิมพ์เหนือภาพหรือตาราง ส่วนคำอธิบายเพิ่มเติมให้ใส่ใต้ภาพหรือตาราง</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">กำหนดการออกวารสาร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">***หมายเหตุ: วารสารตีพิมพ์ฟรี ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม</span></p> th-TH chakkree_2532@hotmail.com (อาจารย์ ดร.จักรี ศรีจารุเมธีญาณ) chutima.khamlaiwong@gmail.com (นางสาวชุติมา ศรีจารุเมธีญาณ) Sat, 28 Jun 2025 12:48:12 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ กรณีศึกษา เทศบาลตำบลอาจสามารถ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/936 <p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา 3 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ 2. เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ และ 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก มีกลุ่มเป้าหมาย 6 กลุ่ม คือ 1. นายกเทศมนตรี 2. สมาชิกสภาเทศบาล 3. เจ้าหน้าที่เทศบาลเมือง 4. ผู้นำชุมชน และ 5. ประชาชน ผลการศึกษาประเด็นศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ พบว่า นายกเทศมนตรีได้วางแผนกระบวนการทำงานก่อนที่จะลงมือทำ มีการกำหนดกรอบระยะเวลา มีการติดตามการทำงานของผู้ปฏิบัติในองค์กรเพื่อให้บุคลากรพร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นปัญหาและอุปสรรคศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ พบว่า มีปัญหาในช่วงจัดตั้งกลุ่มใหม่ ๆ มีบุคลากรส่วนหนึ่งยังขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตน้ำประปาขาดเจ้าหน้าที่ในการที่จะดูแลเกี่ยวกับระบบของการผลิตในทุกขั้นตอน เพราะยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาให้ความรู้ ประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคศักยภาพในการจัดการน้ำประปาดื่มได้ พบว่า ควรจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน เพื่อที่จะได้เข้าใจกับระบบการผลิตน้ำประปา</p> สุเมธ มงคลเมือง, พงศ์สวัสดิ์ ราชจันทร์, วุฒิชัย ตาลเพชร, รพีพร ธงทอง Copyright (c) 2024 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/936 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต: มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1139 <p><strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ </strong>1) เพื่อการพัฒนาติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต: มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต :มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 3) เพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้ระบบ ติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต: มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องด้านงานพัสดุ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ&nbsp; โดยการเลือกแบบเจาะจง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ( Purposive&nbsp; sampling ) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่น กูเกิลชีต: มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ แบบประเมินคุณภาพของระบบและแบบประเมินประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยี ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) ในการพัฒนาระบบ ได้ทำจัดทำระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่น กูเกิลชีต : มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ผ่านกูเกิลชีต ที่เป็นเครื่องมือในการสร้างและแก้ไขสเปรดชีตออนไลน์ที่พัฒนาโดยกูเกิ้ล ซึ่งใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันได้ 2) ผลการประเมินคุณภาพระบบอยู่ในระดับมาก ( x=4.49 , S.D.= 0.01)&nbsp; 3)ผลการวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก ( x=4.35 , S.D.= 0.01)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> เปรมฤดี ปลื้มเชื่อ Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1139 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประเมินผลความพึงพอใจของบุคลากรต่อระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1141 <h1>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลความพึงพอใจของบุคลากรต่อระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้าง ด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ระบบนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามสถานะการจัดซื้อจัดจ้าง ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จากการบันทึกข้อมูล โดยงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องด้านงานพัสดุ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้าง ด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิลชีต มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ผลการวิจัยสรุปได้คือ ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานอยู่ในระดับมากโดยมีค่า (=4.37, S.D.= 0.06) อีกทั้งยังมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงในเรื่องของการแสดงผลข้อมูลให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและการพัฒนาฟังก์ชันการแจ้งเตือนเพื่อเป็นการติดตาม ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาระบบติดตามการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</h1> ศักดา ฝาชัยภูมิ Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1141 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1145 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และ 3) ประเมินประสิทธิภาพการใช้ระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากร และนักศึกษาที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Specific purposive Sampling) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ การพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบประเมินคุณภาพของการพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบประเมินประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีการพัฒนาระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดย ผู้วิจัยทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ ถึงผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความอนุเคราะห์ในการประเมินประสิทธิภาพของระบบ จากนั้นนำระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์: มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และแบบประเมินผลการใช้งานมอบให้กับผู้เชี่ยวชาญประเมิน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการดำเนินการวิจัยระบบตรวจสอบการให้บริการของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ พบว่า มีผลการประเมินคุณภาพระบบอยู่ในระดับมาก (=4.43, S.D.= 0.01) ผลการวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (=4.38, S.D.= 0.01) โดยในการวิจัยนี้ได้ทำการตรวจสอบสถานะเครือข่ายแบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์เครือข่าย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย อุปกรณ์ระบบเครือข่าย ได้แบบทันที ทำให้สามารถทราบปัญหาและดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน</p> ภัครพล อาจอาษา Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1145 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบแจ้งซ่อมและติดตามการซ่อมบำรุงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1146 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาและประเมินผลระบบแจ้งซ่อมและติดตามการซ่อมบำรุงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้กระบวนการทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบและความพึงพอใจของผู้ใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยระบบแจ้งซ่อมและติดตามการซ่อมบำรุงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถรองรับการดำเนินงานภายในมหาวิทยาลัย และแบบสอบถามที่ออกแบบตามหลักการวัดความพึงพอใจของผู้ใช้ การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คน ซึ่งเป็นบุคลากรและนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบ ระบบได้รับการพัฒนาโดยใช้แนวทางตามวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งครอบคลุมกระบวนการตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบ พัฒนา ทดสอบ และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญในระดับดีมาก (= 4.50, S.D. = 0.02) ซึ่งสะท้อนถึงความสมบูรณ์ของระบบในด้านความสามารถในการทำงาน ความปลอดภัย และความเหมาะสมกับบริบทขององค์กร ในขณะที่ผู้ใช้งานให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมาก (= 4.21, S.D. = 0.02) ซึ่งบ่งชี้ถึงความสะดวกในการใช้งานและประสิทธิภาพของระบบในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ และมีข้อเสนอแนะจากการวิจัยระบุว่า ควรมีการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ วิเคราะห์แนวโน้มของปัญหา และพัฒนาระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรองรับการขยายตัวของระบบสารสนเทศในอนาคต</p> รชานนท์ คุ้มโนนชัย, ภัครพล อาจอาษา Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1146 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทและการพัฒนาเครือข่ายภาคประชาสังคมต่อการมีส่วนร่วม ในการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1137 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาระดับของบทบาทการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาสังคมต่อการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ และ 3) พัฒนาบทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมต่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ รูปแบบการวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยผสานวิธี ระหว่างวิธีการเชิงปริมาณ กับวิธีการเชิงคุณภาพ เป็นกรอบการวิจัย โดยการศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษาจากประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมจากองค์กรชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดชัยภูมิ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเขตจังหวัดชัยภูมิ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ พบว่า บทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง โดยแยกออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นก่อนการเลือกตั้ง มีคะแนนเฉลี่ย 3.01 (SD=1.112) 2) ขั้นระหว่างการเลือกตั้งมีคะแนนเฉลี่ย 2.81 (SD=1.133) 3) ขั้นหลังการเลือกตั้งมีคะแนนเฉลี่ย 2.88 (SD=1.305) โดยในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ย 2.90 (SD=1.183) อยู่ในระดับปานกลาง 2. ระดับการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของเครือข่ายภาคประชาสังคมต่อการมีส่วนร่วมในเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ โดยจะแยกออกเป็น 3 ระดับได้แก่ 1) ระดับการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งขั้นต้น มีคะแนนเฉลี่ย 3.14 (S.D.=1.318) 2) ระดับการมีส่วนร่วมในการเลือกขั้นกลาง มีคะแนนเฉลี่ย 2.79 (S.D.=1.357) 3) ระดับการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งขั้นสูง มีคะแนนเฉลี่ย 1.63 (S.D.=1.069) โดยในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ย 2.52 (SD=1.248) อยู่ในระดับปานกลาง 3. แนวทางการพัฒนาบทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมต่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของจังหวัดชัยภูมิ 5 เรื่องหลัก 1) ควรพัฒนาส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2) สร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาครัฐในการสร้างบทบาทการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง 3) การส่งเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบการเลือกตั้ง 4) บทบาทในการเสนอนโยบาย หรือปัญหาให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้ง 5) การติดตามการทำงานให้เกิดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้ง</p> ธานี ถังทอง Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1137 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการส่งเสริมการให้อามิสทานในยุคดิจิทัล https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1511 <p>บทความวิชาการเรื่องนี้มุ่งศึกษาบทบาทและอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการส่งเสริมการให้อามิสทานในสังคมไทยยุคดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทำทาน 2) บทบาทการส่งเสริมการให้อามิสทานและ 3) บทบาทต่อการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในยุคดิจิทัล การศึกษานี้ใช้การเก็บข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจาก Facebook, X, TikTok และ Instagram</p> <p>ผลการศึกษาวิเคราะห์ประเด็นวัตถุประสงค์ว่า 1) รูปแบบเนื้อหาเกี่ยวกับการทำทานบนสื่อสังคมออนไลน์มีความหลากหลาย นำเสนอในรูปแบบสื่อผสมทั้งข้อความ รูปภาพและวิดีโอ 2) บทบาทการส่งเสริมการให้อามิสทานสามารถสร้างการมีส่วนร่วมและความรู้สึกร่วมจากผู้ให้และผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) บทบาทต่อการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในยุคดิจิทัล ในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ทำหน้าที่เป็นพื้นที่สื่อกลางในการระดมทุน เผยแพร่ข้อมูล และสร้างแรงบันดาลใจในการทำความดี นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริจาค โดยอำนวยความสะดวกผ่านช่องทางออนไลน์ สร้างเครือข่าย และขยายผลกิจกรรมการกุศลในวงกว้าง </p> <p>การศึกษานี้สะท้อนถึงพลวัตการทำทานในสังคมไทยที่ปรับเปลี่ยนตามบริบทยุคดิจิทัล โดยสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการให้และการแบ่งปันในสังคมไทยร่วมสมัย ข้อค้นพบนี้สามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการทำความดีและการบริจาคผ่านช่องทางดิจิทัล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> มินตรา เก่าพิมาย, มานิตย์ อรรคชาติ Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1511 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธินิยมสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1723 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธินิยม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนา และสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย<strong> </strong>วิทยาเขตอีสาน ผลการศึกษา พบว่า การจัดการเรียนรู้ โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธินิยม สำหรับนักศึกษาครู เป็นกระบวนการการจัดประสบการณ์ในชั้นเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอน ในรูปแบบการสอนโดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธินิยม เพื่อการพัฒนาผู้เรียน ที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจ การเรียนรู้จากพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้า นำไปสู่กระบวนการทางความคิด ที่เกิดจากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำ และการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ของเนื้อหาในรายวิชาที่เรียน เพื่อเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> แก่นเพชร แฝงสีพล, พระณัฐวุฒิ พันทะลี, ประเสริฐ ชมพรมมา, วิญญู เถาถาวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1723 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 พลวัตเศรษฐกิจการเมืองไทยกับความเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองไทย ตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2475 ถึงยุคหลังรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1729 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พลวัตทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทยตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงยุคหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างบริบทเศรษฐกิจการเมืองกับความเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองไทยในแต่ละช่วงเวลา การวิเคราะห์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดเศรษฐกิจการเมืองแนวมาร์กซิสต์และแนวคิดสถาบันนิยมเชิงวิพากษ์ ซึ่งช่วยเปิดพื้นที่ให้เห็นถึงอิทธิพลเชิงโครงสร้างและกลไกเชิงสถาบันที่กำกับพัฒนาการของพรรคการเมือง ผลการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะบทบาทของกลุ่มทุนหลักในแต่ละยุคสมัย มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรูปแบบการจัดตั้งพรรค กลไกการดำเนินงานภายใน ตลอดจนแนวทางการปรับตัวของพรรคการเมืองไทยต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ กฎหมายพรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง และองค์กรอิสระทางการเมืองยังมีบทบาทเป็นกลไกเชิงสถาบันที่ทั้งเอื้อและขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่พยายามเข้ามาแข่งขันในสนามการเมือง งานศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อำนาจรัฐ และพัฒนาการของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมการเมืองไทยในแต่ละช่วงเวลา โดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการเมืองเชิงโครงสร้างที่พรรคการเมืองมิได้ดำรงอยู่ในสุญญากาศ แต่อยู่ภายใต้แรงกดดันและข้อจำกัดจากทั้งกลุ่มทุนและกลไกของรัฐอย่างต่อเนื่อง</p> อเนก สุขดี Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1729 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การใช้นโยบายการคลังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม: ภาพสะท้อนหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งและโควิด 19 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1890 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงวิกฤตต้มยำกุ้งและโควิด 19 และวิเคราะห์ผลของการใช้นโยบายการคลังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการศึกษาเอกสารและงานวิชาการ และทำการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิเคราะห์ พบว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นในปี 2540 ในยุครัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีกระทบต่อสถาบันการเงิน และเกิดการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ส่วนปลายปี 2562 เป็นการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern) และเป็นการแพร่ระบาดใหญ่ระดับโลกส่งผลต่อการเพิ่มรายจ่ายของรัฐ โดยเฉพาะงบประมาณฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รัฐบาลไทยต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุข นโยบายการคลังที่ใช้เป็นการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นซึ่งรัฐบาลควรมีวินัยทางการคลังในการควบคุมการดำเนินการทางงบประมาณหรือการใช้จ่ายเงินงบประมาณ โดยรักษาดุลยภาพระหว่างรายได้กับรายจ่าย และก่อหนี้สาธารณะเท่าที่จำเป็นและตามความสามารถในการชำระหนี้</p> ธราภูมิ ดวงนิล, นิภาพรรณ เจนสันติกุล, รักพงษ์ แสนศรี Copyright (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/1890 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700