https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/issue/feed วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences 2025-10-30T17:42:08+07:00 อาจารย์ ดร.จักรี ศรีจารุเมธีญาณ chakkree_2532@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">หลักเกณฑ์และคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์บทความ</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences </span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย มีนโยบายในการ ส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ และงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการ โดยครอบคลุมด้าน ปรัชญา ศาสนา รัฐศาสตร์ สังคมศึกษา รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ พัฒนศึกษา พัฒนาสังคม บริหารการศึกษา การศึกษา ภาษา วรรณกรรม และสหวิทยาการ กำหนดการตีพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ ออกราย 2 เดือน คือ เล่ม 1 มกราคม –กุมภาพันธ์ /เล่ม 2 มีนาคม – เมษายน /เล่ม 3 พฤษภาคม – มิถุนายน /เล่ม 4 กรกฎาคม - สิงหาคม /เล่ม 5 กันยายน - ตุลาคม /เล่ม 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 5 ประเภท คือ</span></p> <ol> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความพิเศษ บทความทางวิชาการพิเศษ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้น และผ่านการอ่านและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการวิชาการ/วิชาชีพ</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความทางวิชาการ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาหรือประชาชนทั่วไป</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ รายงานผลงานวิจัยใหม่ที่มีองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดๆมาก่อน</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ และวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้น โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกัน</span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;">ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่ บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปล ย่อความจากวารสารต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะนำเครื่องมือใหม่ ตำรา หรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ หรือข่าวการประชุมทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ</span></li> </ol> <p><span style="vertical-align: inherit;">ซึ่งบทความที่จะนำมาตีพิมพ์ในวารสารจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ ( Peer review) ซึ่งปกติจะมี Double Blind (ผู้พิจารณา 3 คน) ทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆการเตรียมต้นฉบับที่จะมาลงตีพิมพ์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับบทความ และการสมัครสมาชิก</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สำนักงานวารสารเมธีวิจัย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">เลขที่ 555/4 หมู่ที่ 11 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">อีเมล์: chakkree_2532@hotmail.com </span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">อาจารย์ ดร.จักรี ศรีจารุเมธีญาณ โทรศัพท์ 080-7506846 </span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">1 ประเภทของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเมธีวิจัย ตีพิมพ์บทความประเภทต่าง ๆ ดังนี้</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.1 บทความพิเศษ บทความทางวิชาการพิเศษ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้น และผ่านการอ่านและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้น ๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการวิชาการ/วิชาชีพ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.2 บทความทางวิชาการ ที่เสนอเนื้อหาความรู้วิชาการ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาหรือประชาชนทั่วไป </span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.3 บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ รายงานผลงานวิจัยใหม่ที่มีองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ มาก่อน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.4 บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ และวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้น โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกัน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1.5 ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่ บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปล ย่อความจากวารสารต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะนำเครื่องมือใหม่ ตำรา หรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ หรือข่าวการประชุมทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การส่งบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความที่จะตีพิมพ์ในวารสารเมธีวิจัย ต้องผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ และรอการตรวจสอบจากกองบรรณาธิการ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การตรวจสอบบทความและพิสูจน์อักษร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ผู้นิพนธ์ควรตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบของบทความที่วารสารกำหนด ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องแน่นอน พร้อมทั้งพิสูจน์อักษรก่อนที่จะส่งบทความนี้ให้กับบรรณาธิการ การเตรียมบทความให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสารจะทำให้การพิจารณาตีพิมพ์มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร</span></p> <p><strong> </strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">การเตรียมบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความต้องเป็นตัวพิมพ์ดีด โดยใช้ชุดแบบอักษร (font) ชนิดไทยสารบรรณ (TH Sarabun PSK) ขนาดอักษร 16 จัดกั้นหลังตรง และมีระยะห่างระหว่างบรรทัดหนึ่งช่อง (double spacing) ตลอดเอกสาร พิมพ์หน้าเดียวลงบนกระดาษ (A4) พิมพ์ให้ห่างจากขอบกระดาษ ด้านซ้าย และด้านขวา ขนาด 3.81 ซม. ด้านบน ขนาด 4.5 ซม. และด้านล่าง ขนาด 4.01 ซม. พร้อมใส่หมายเลขหน้ากำกับทางมุมขวาบนทุกหน้า บทความไม่ควรยาวเกิน 15 หน้ากระดาษพิมพ์ (A4) โดยนับรวมภาพประกอบและตาราง</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การพิจารณาและคัดเลือกบทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind peer review)</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">2 บทคัดย่อ (Abstract)</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">บทคัดย่อควรมีความยาวไม่เกิน 350 คำ โดยแยกต่างหากจากเนื้อเรื่อง บทความวิจัย/วิชาการ ต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบทคัดย่อควรเขียนให้ได้ใจความทั้งหมดของเรื่อง ไม่ต้องอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง และ ให้มีเพียง 3 ส่วนเท่านั้น คือ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1) วัตถุประสงค์ ควรกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">2) ผลการวิจัยพบว่า ควรประกอบด้วยผลที่ได้รับจากการค้นคว้า ศึกษา และผลของค่าสถิติ (ในกรณีมีการวิเคราะห์)</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3) คำสำคัญ ควรมีคำสำคัญไม่เกิน 3 คำ ที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษาและจะปรากฏอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (Semicolon) (;)</span></p> <p><strong> </strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">3 เนื้อเรื่อง ควรประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทความวิจัย ประกอบด้วย</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.1 บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่าง ๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้งนี้</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัย รวมถึงรวบรวมหลักการ วิธีการ โดยมีรายละเอียดว่าจะต้องศึกษาอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล และเสนอผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.3 วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) เป็นการกำหนด วิธีการ กิจกรรม รายละเอียดของการวิจัย การศึกษาประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา และวิธีการศึกษาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งสถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.4 สรุปผลการวิจัย (Results) เป็นการแสดงผลที่ได้จากการศึกษาและวิเคราะห์ในข้อ 3.1.2 ควรจำแนกผลออกเป็นหมวดหมู่และสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาโดยการบรรยายในเนื้อเรื่องและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรือ แผนภูมิ ตามความเหมาะสม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.5 อภิปรายผลการวิจัย (Discussion) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ของผู้นิพนธ์ นำมาเปรียบเทียบกับผลการวิจัยของผู้อื่น เพื่อให้มีความเข้าใจหรือเกิดความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้น รวมทั้งข้อดี ข้อเสียของวิธีการศึกษา เสนอแนะความคิดเห็นใหม่ๆ ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.6 ข้อเสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.7 กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) (Acknowledgement) เป็นส่วนที่กล่าวขอบคุณต่อองค์กร หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือในการวิจัย รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนวิจัย และหมายเลขของทุนวิจัย</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.1.8 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA เวอร์ชั่น 6 (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเนื้อหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลายโดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆที่ง่ายต่อการศึกษาและการปฏิบัติ</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">3.2 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทความวิชาการ ประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.1 บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่างๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้ง</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.2 เนื้อหา (Content) เรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการจะให้ผู้อ่านได้รับทราบ เนื้อหาที่ดีต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนและน่าสนใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางความคิดของผู้เขียนเป็นสำคัญ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.3 สรุป (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนบทความที่ผู้เขียนจะต้องเขียนให้เหลือเฉพาะส่วนที่มีความสำคัญ เป็นการกลั่นกรอง การรวบรวมหรือการลดข้อความให้เหลือส่วนที่สำคัญเท่านั้น</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.2.4 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ที่เป็นรูปแบบเดียวกัน</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">3.3 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียนบทวิจารณ์หนังสือ ประกอบด้วย</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.1 ชื่อเรื่องของหนังสือ (Title) ให้ระบุทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.2 ชื่อผู้เขียนหนังสือ (Author) ให้ระบุชื่อเต็มทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษพร้อมระบุสถาบัน หรือหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.3 ชื่อผู้วิจารณ์ (Name of Reviews) ให้ระบุชื่อเต็มทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ พร้อมระบุสถาบัน หรือหน่วยงานของที่ผู้วิจารณ์สังกัด</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.4 เนื้อหาการวิจารณ์ (Reviews Content) ในการเขียนเกี่ยวกับหนังสือวิจารณ์ เนื้อเรื่องจะเป็นส่วนแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดในการวิจารณ์ โดยนำเสนอเรื่องราวจุดเด่น จุดบกพร่องของเรื่อง โดยทำการวิจารณ์หรือวิพากษ์อย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผลตามหลักวิชาการ</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.5 สรุป (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนสรุปความคิดเห็นทั้งหมดที่วิจารณ์รวมถึงให้ข้อคิดหรือข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3.3.6 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆที่เป็นรูปแบบเดียวกัน</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การเขียนเอกสารอ้างอิง</span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">รายงานการวิจัย </span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน (ในกรณีภาษาไทย ใช้ชื่อและนามสกุล และในกรณีภาษาอังกฤษ ใช้นามสกุลและชื่อ). ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อย่อของวารสาร. เล่มที่พิมพ์ ฉบับที่พิมพ์: เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง. ในกรณีที่มีผู้เขียนมากกว่า 6 คน ให้ใส่รายชื่อผู้เขียนคนแรก แล้วตามด้วยคำว่า “และคณะ” หรือ “et al.”</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">หนังสือ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน (ในกรณีภาษาไทย ใช้ชื่อและนามสกุล และในกรณีภาษาอังกฤษ ใช้นามสกุลและชื่อ). ปีที่พิมพ์. ชื่อหนังสือ. สำนักพิมพ์. เมืองที่พิมพ์ : เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง. </span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">รายงานการประชุมและสัมมนา</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเอกสารรวมเรื่องที่ได้จากรายงานการประชุม. วัน เดือน ปีที่จัด : สถานที่จัด : สำนักพิมพ์ หรือผู้จัดพิมพ์. เลขหน้า.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">วิทยานิพนธ์/ ดุษฎีนิพนธ์/สารนิพนธ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ระดับวิทยานิพนธ์ : ชื่อสถาบันการศึกษา.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">บทความในหนังสือพิมพ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้เขียน. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อหนังสือพิมพ์. เล่มที่พิมพ์ ฉบับที่พิมพ์: เลขหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สัมภาษณ์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์. วัน เดือน ปีที่สัมภาษณ์. ตำแหน่ง (ถ้ามี).</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">สื่ออิเล็กทรอนิกส์</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อเรื่อง. ชื่อเว็บไซต์. วัน เดือน ปีที่สืบค้น. ได้มาจาก ชื่อ website.</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">ส่วนที่ </span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;">4 ภาพประกอบ (Figure) และส่วนตาราง (Table)</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ภาพประกอบและตารางควรมีเท่าที่จำเป็น โดยพิมพ์หน้าละ 1 ภาพ หรือ 1 ตารางสำหรับคำบรรยายภาพและตารางให้พิมพ์เหนือภาพหรือตาราง ส่วนคำอธิบายเพิ่มเติมให้ใส่ใต้ภาพหรือตาราง</span></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">กำหนดการออกวารสาร</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">***หมายเหตุ: วารสารตีพิมพ์ฟรี ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม</span></p> https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2282 การใช้ภาษาจินตภาพในเสด็จประพาสจันทบุรี พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2025-08-19T18:54:57+07:00 Phathompong Suklek p_0345043@hotmail.com <p>งานวิจัยเรื่องการใช้ภาษาจินตภาพในเสด็จประพาสจันทบุรีพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว&nbsp; มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ภาษาจินตภาพ&nbsp; โดยใช้กรอบแนวคิดเรื่องภาษาจินตภาพ 5 ประเภท ได้แก่ จินตภาพทางการมองเห็น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จินตภาพทางการได้ยิน จินตภาพทางการได้กลิ่น จินตภาพทางการรับรส และจินตภาพทางการสัมผัส ผลการวิจัยพบว่า ปรากฏการใช้ภาษาจินตภาพ 4 ประเภท เรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ จินตภาพทางการมองเห็น จินตภาพทางการได้ยิน จินตภาพทางการรับรส และจินตภาพทางการสัมผัส&nbsp; โดยไม่ปรากฏจินตภาพทางการได้กลิ่น&nbsp; การใช้ภาษาจินตภาพทางการมองเห็นพบมากที่สุด เนื่องจากเป็นจินตภาพที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้กว้าง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งในเรื่องสีสัน ขนาด รูปทรง ตำแหน่ง ปริมาณ การใช้ภาษาจินตภาพยังมักใช้ควบคู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กับการเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและเกิดจินตภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2450 บทบาทผู้นำชุมชนในการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง กรณีศึกษา บ้านเชียงใหม่ ตำบลเชียงใหม่ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด 2025-10-08T07:54:17+07:00 Pongsawut Rachjun seat007@outlook.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อ 1) ศึกษาบทบาทผู้นำชุมชนในการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง 2) วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคบทบาทผู้นำชุมชนในการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง และ 3. เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคบทบาทผู้นำชุมชนในการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ มีเครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) การจัดกลุ่มสนทนา (Focus Groups) และ เวทีคืนข้อมูลชาวบ้าน โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูล 5 กลุ่ม คือ 1) ผู้ใหญ่บ้าน 2) ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน&nbsp; 3) คณะกรรมการหมู่บ้าน 4) ประชาชน และ 5) ปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งสิ้น จำนวน 20 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผู้นำที่ต้องมีความสามารถในหลาย ๆ ด้าน ผู้นำต้องมีความเชียวชาญในการอนุรักษ์ประเพณีฮีตสิบสอง ผู้นำต้องลงมือทำด้วยเพื่อพัฒนาการส่งเสริมการอนุรักษ์ต่อไป ผู้นำจะต้องมีความสามารถ กล้าตัดสินใจ และผู้นำจะต้องมีสติ มีความโปร่งใสในการบริหารจัดการ รวมทั้งผู้นำจะต้องทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2358 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 2025-09-08T20:18:49+07:00 สุจิตรา ศิริการุณย์ sujitra0542518@kru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และเปรียบเทียบปัจจัยที่ทำให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสำเร็จการศึกษาตามแผนระยะเวลาของหลักสูตรกับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่สำเร็จการศึกษาล่าช้า ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ที่สำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษา 2564–2566 จำนวน 110 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบแบบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยคือ ด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ รองลงมาคือ ด้านคุณลักษณะนักศึกษา ด้านคุณลักษณะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ด้านครอบครัวและเพื่อน และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 2) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยที่ทำให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสำเร็จการศึกษาตามแผนระยะเวลาของหลักสูตรกับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่สำเร็จการศึกษาล่าช้า พบว่า ในภาพรวม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านคุณลักษณะนักศึกษา ด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ด้านครอบครัวและเพื่อน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นั่นคือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสำเร็จการศึกษาตามแผนระยะเวลาของหลักสูตรมากกว่านักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่สำเร็จการศึกษาล่าช้า</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2399 การพัฒนาทักษะด้านสิ่งแวดล้อมของนักเรียนในจังหวัดชัยภูมิ: กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านช่อระกา อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2025-09-21T21:33:16+07:00 Tawan Chumpapho chumpapho@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมฝึกอบรมทักษะด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนบ้าน ช่อระกา อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก่อนและหลังการฝึกอบรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านช่อระกา อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนบ้านช่อระกา อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 30 คน ได้จากการกำหนดให้นักเรียนที่เป็นสภานักเรียน หัวหน้าห้อง และรองหัวหน้าห้องเรียน โรงเรียนบ้านช่อระกา ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบทดสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แบบวัดทัศนคติที่ดีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และแบบวัดทักษะต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ การหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา การหาค่าความยากง่าย การหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อ การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) และสถิติทดสอบสมมติฐาน Paired t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) การพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกอบรมทักษะด้านสิ่งแวดล้อมของนักเรียนในจังหวัดชัยภูมิ: กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านช่อระกา อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ พิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีค่าระหว่าง 0.60 – 1.00 แสดงว่ามีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>2) นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมฝึกอบรมทักษะด้านสิ่งแวดล้อม มีความรู้และทัศนคติหลังเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2451 ศักยภาพในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษา กลุ่มการทอเสื่อกก บ้านโคกกกม่วง ตำบลโคกกกม่วง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด 2025-10-08T07:57:36+07:00 Pongsawut Rachjun seat007@outlook.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อ 1. ศึกษาศักยภาพในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน&nbsp; 2. วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคศักยภาพในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ 3. เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคศักยภาพในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) การจัดกลุ่มสนทนา (Focus Groups) และ เวทีคืนข้อมูลชาวบ้าน โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูล 6 กลุ่ม คือ 1. ผู้ใหญ่บ้าน 2. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3. คณะกรรมการหมู่บ้าน 4. ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 5. สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ 6. ประชาชน แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสาร วรรณกรรม และแบบสัมภาษณ์มาวิเคราะห์แบบเชิงเนื้อหา ผลการประเด็นศักยภาพในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พบว่า สมาชิกกลุ่มได้จัดการวางแผนกระบวนการทำงานก่อนที่จะลงมือทำ มีการกำหนดกรอบระยะเวลา &nbsp;&nbsp;มีการติดตามการทำงานของสมาชิกในกลุ่มเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาของกลุ่ม โดยที่ประธานจะดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สมาชิกพร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อทำงานให้เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2348 ประสิทธิภาพของการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2025-09-03T13:53:20+07:00 Pathitta Kusolkoom ann.patitta55@gmail.com <h1>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิด Porter and Lawler (1975) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย ได้แก่ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ คณะพยาบาลศาสตร์ สำนักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต สำนักงานอธิการบดี &nbsp;กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่ใช้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำนวน 200 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า</h1> <h1>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ระดับประสิทธิภาพต่อการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรผู้ให้บริการ รองลงมา คือ ด้านผลการให้บริการ และด้านกระบวนการหรือขั้นตอนการให้บริการ ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก</h1> <h1>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ประกอบด้วย 1) ด้านการพัฒนาการให้บริการ ควรส่งเสริมและรักษามาตรฐานการให้บริการที่มีอยู่ โดยเฉพาะด้านที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูง เช่น การบริการที่ไม่เรียกร้องผลตอบแทน ความสุภาพของเจ้าหน้าที่ และความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่ให้บริการ 2) ด้านการลดความซับซ้อนของขั้นตอน ควรทบทวนและปรับปรุงกระบวนการหรือขั้นตอนที่ยังซับซ้อนหรือยุ่งยาก โดยอาจจัดทำคู่มือบริการแบบย่อ หรือจัดเตรียมแผนผังขั้นตอน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าใจง่ายและสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง 3) ด้านการพัฒนาเครื่องมืออำนวยความสะดวก ควรปรับปรุงระบบเอกสารและแบบฟอร์มต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ชัดเจน และสามารถดาวน์โหลดได้ทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเตรียมตัวล่วงหน้า</h1> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2379 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดขอนแก่น 2025-09-12T15:38:42+07:00 ธนัสนันท์ วรพงศาทิตย์ thanatsanan.w@kkumail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลกับประชากรจำนวน 136 คนด้วยแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดขอนแก่นโดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก (ค่าเฉลี่ย = 4.08 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.40) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับ มากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.39 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.83) รองลงมา ด้านคุณภาพของงานมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับ มาก (ค่าเฉลี่ย = 4.16 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.14) และน้อยที่สุดด้านเวลา มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับ มาก (ค่าเฉลี่ย = 3.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.14)</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2492 ผลของการใช้เพลงสากลที่มีต่อสมรรถนะการฟังภาษาอังกฤษและพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนท้องถิ่น จังหวัดชัยภูมิ 2025-10-13T20:39:21+07:00 เฉลิมวุฒิ อุทัยกัน chalerm_wut@hotmail.com นันทวัน พิมพ์ปิ nantawan0807307964@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะทางการฟังภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นชนบท จังหวัดชัยภูมิด้วยกิจกรรมการฟังเพลงสากล 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ทักษะการฟังภาษาอังกฤษด้วยแนวเพลงสากล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างการวิจัยกึ่งทดลองและการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มเป้าหมายของการศึกษา คือ นักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยหว้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จังหวัดชัยภูมิ 14 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ได้จากการเลือกแบบกลุ่มตัวอย่างแบบจำเพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การฟังภาษาอังกฤษด้วยเพลงสากล แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในงานวิจัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คือ การทดสอบค่า t-test</p> <p>ผลการวิจัย ปรากฏดังนี้</p> <ol> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะทางด้านการฟังภาษาอังกฤษจากเพลงสากล ของนักเรียนระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> <li class="show">นักเรียนแสดงออกพฤติกรรมการเรียนรู้ 6 ด้าน 1) ความสนใจและแรงจูงใจ 2) กลยุทธ์การเรียนรู้ 3) การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 4) การพัฒนาทักษะการฟัง 5) ทัศนคติและอารมณ์ 6) ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ 7) อุปสรรคในการเรียนรู้ทักษะการฟัง</li> </ol> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2430 บทวิจารณ์หนังสือ 2025-09-29T20:56:55+07:00 อัครวัฒน์ วงศ์ฐิติคุณ akkrawat68@gmail.com <p>ในยุคสมัยที่การประเมินผลทางการศึกษามีบทบาทสำคัญและเปลี่ยนแปลง<br>อยู่ตลอดเวลา หนังสือ <strong><em>Classroom Assessment: What Teachers Need to Know</em></strong> <br><strong>ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10</strong> ของ W. James Popham ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้นำเสนอองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างครอบคลุม และน่าสนใจ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงตำราที่รวบรวมวิธีการ และเทคนิคการวัดและประเมินในชั้นเรียน แต่เป็นคู่มือที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้แก่ครู นักศึกษาครู และบุคลากรทางการศึกษาว่า <strong>การประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพการสอนของครูให้ดีขึ้นได้</strong> ผู้เขียนได้ตอกย้ำแนวคิดหลักที่ว่า การประเมินผลที่ดีไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมท้ายหน่วยการเรียนรู้ แต่เป็นกระบวนการที่<br>บูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางการศึกษาที่ดีขึ้น</p> <p>หนังสือเล่มนี้โดดเด่นด้วยลีลาการเขียนที่เป็นกันเอง มีการสอดแทรกอารมณ์ขันและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ทำให้หัวข้อที่ซับซ้อนและอาจดูน่าเบื่อกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและน่าติดตาม โครงสร้างของหนังสือมีความชัดเจน โดยแต่ละบทจะเริ่มต้นด้วย "ผลลัพธ์หลักของบท" (Chief Chapter Outcome) และ "วัตถุประสงค์การเรียนรู้" (Learning Objectives) เพื่อช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็นสำคัญได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบพิเศษที่เพิ่มคุณค่าให้กับหนังสืออย่างมาก เช่น <strong>"Parent Talk"</strong> ที่นำเสนอตัวอย่างบทสนทนาสำหรับครูในการอธิบายเรื่องการประเมินผลแก่ผู้ปกครอง และ <strong>"Testing Takeaways"</strong> ซึ่งเป็นบทสรุปแนวคิดสำคัญขนาดหนึ่งหน้ากระดาษที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริม "ความรอบรู้ด้านการประเมินผล" (Assessment Literacy) ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences https://so16.tci-thaijo.org/index.php/SJ_SS/article/view/2449 การอ้างถึงแนวคิดทางพุทธศาสนาในวรรณกรรมเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร 2025-10-08T07:51:25+07:00 ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ natawut.kla@mbu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการอ้างถึงแนวคิดทางพุทธศาสนาในวรรณกรรมเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ผลการศึกษาพบว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; มีจุดประสงค์ในการอ้างถึงแนวคิดทางพุทธศาสนา 2 ประการ คือ 1) เพื่อเตือนตนเอง 2) เพื่อเตือนผู้อื่น ทั้งนี้การอ้างถึงแนวคิดทางพุทธศาสนา&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เพื่อเตือนตนเองพบในวรรณกรรมประเภทกาพย์เห่เรือและกาพย์ห่อโคลง ตลอดจนวรรณกรรมประเภทเพลงยาว โดยทรงอ้างถึงเพื่อ 1) ให้เข้าใจความ เป็นไปที่เกิดขึ้น 2) ให้ความหวังและกำลังใจแก่ตนเอง 3) ให้มุ่งกระทำในสิ่งดีงาม สำหรับการอ้างแนวคิดทางพุทธศาสนาเพื่อเตือนผู้อื่นพบในวรรณกรรมประเภทคำหลวง โดยทรงอ้างเพื่อ 1) ให้ทำบุญเพื่อความสุขสบายในอนาคต 2) ให้งดเว้นจากการทำความชั่ว 3) ให้ลดทิฐิ 4) ให้มีความมุ่งมั่น ผลจากการศึกษายังทำให้เห็นว่า พุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคนไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเมธีวิจัย Savant Journal of Social Sciences