Journal of Spatial Development and Policy https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP <p> <strong> Journal of Spatial Development and Policy</strong> ISSN: 2985-220X (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ตั้งแต่ระดับองค์กร กลุ่ม หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ภูมิภาค ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ วารสารมุ่งเน้นส่งเสริมงานวิชาการที่มีลักษณะเป็นการสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาพื้นที่ในมิติต่างๆ แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ที่ผลักดันไปสู่การสร้างนโยบายของพื้นที่ โดยเปิดรับบทความทางด้านการพัฒนาพื้นที่ที่บูรณาการกับศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และงานทางด้านสหวิทยาการทางสังคมศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่และผลักดันสู่การสร้างกรอบนโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Spatial Development and Policy มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1RAg-tLgpmV1ta0SYgHyq3U93TTW8l_jP/edit?tab=t.0">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1RvQ-XVZGWwjGMUBzVuZXdMo10Dzf4PtM/edit?tab=t.0">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1atjbiNeyyeOlakSUohQxSEkRJyPTUSwN/edit?tab=t.0">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/6qtUwxnrQk">https://line.me/R/ti/g/6qtUwxnrQk</a></p> th-TH prasrisirorat@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประยูร แสงใส) ajsdp9900@gmail.com (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี) Sun, 05 Oct 2025 18:38:49 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของนักท่องเที่ยวชาวกรุงเทพมหานคร https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1991 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปัจจัยลักษณะประชากรศาสตร์ และพฤติกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของคนกรุงเทพมหานคร (2) ศึกษาระดับความสำคัญตามปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดสำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของคนในกรุงเทพมหานคร และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะประชากรศาสตร์ และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดสำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของคนกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และมาตราส่วนประเมินค่าของลิเคอร์ท รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test F-test และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยตัวแปรรายคู่วิธีการของฟิชเชอร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีมากที่สุด โดยแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจ คือ ชายหาด สถานที่พัก คือ โรมแรม/รีสอร์ท ไม่เกิน 4 ดาว ช่วงเวลาที่เลือกเดินทางมา คือ วันเสาร์-อาทิตย์ ระยะเวลาที่ใช้ในการท่องเที่ยว คือ 1-2 คืน จำนวนการเดินทางมาท่องเที่ยวคือ 2-3 ครั้งต่อปี ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยว คือ 5,001 – 8,000 บาทต่อครั้ง โดยส่วนมากจะกลับมาท่องเที่ยวในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอีก และ 2) ผู้ตอบแบบสอบถามให้ระดับความสำคัญปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกายภาพ และด้านกระบวนการ มากที่สุด 3) นอกจากนี้ปัจจัยลักษณะประชากรศาสตร์ยังส่งผลต่อการให้ระดับความสำคัญปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด โดยปัจจัยประชากรศาสตร์ที่ส่งผลให้ระดับความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกันมากที่สุด คือ อาชีพ และสถานภาพ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยภาครัฐจึงควรพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน โดยจัดให้มี จุดชาร์จไฟ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในแหล่งท่องเที่ยว เช่น Wi-Fi ความเร็วสูง และพื้นที่ทำงานสำหรับผู้ที่ยังต้องทำงานระหว่างท่องเที่ยว หรือ จัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว” โดยมีเจ้าหน้าที่หญิงประจำเพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้กลุ่มที่เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะผู้หญิง/ผู้หย่าร้าง ส่วนภาคเอกชน ควรลงทุนในที่พักขนาดเล็กที่มาตรฐานไม่เกิน 4 ดาว เข้าถึงง่าย มีบริการสำหรับนักท่องเที่ยวคนเดียว เช่น รถรับ-ส่ง 24 ชั่วโมง เพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะผู้หญิง เช่น ห้องพักหญิงล้วน, กล้องวงจรปิด, แสงสว่างเพียงพอ, พนักงานหญิงให้บริการ</p> จรรยพร วุฒิสมบูรณ์พันธุ์, ปิยะพรรณ ช่างวัฒนชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1991 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดของอาคารชุด กรณีศึกษาตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู ในจังหวัดนนทบุรี https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2046 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดของอาคารชุด ตามแนวรถไฟฟ้า สายสีชมพู ในจังหวัดนนทบุรี และ (2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบจำลองการวิเคราะห์ถดถอยจำนวน 3 โมเดล เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้มูลมูลประชากรจากข้อมูลอาคารชุด ของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นนทบุรี จำนวน 432 ข้อมูล และทำการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) และได้กำหนดแบบจำลองที่ใช้ในการประมวลผลทางสถิติ เพื่อศึกษาทิศทางและความสัมพันธ์ของ ตัวแปรอิสระต่าง ๆ ผลการศึกษาพบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดมากที่สุด คือ “วัสดุตกแต่งภายใน” ซึ่งให้ค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐาน (Beta) สูงและมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ 0.00 ทั้งนี้แม้ตัวแปรนี้จะถูกรวมอยู่ในกลุ่ม “ปัจจัยด้านคุณภาพอาคารและห้องชุด” ในโมเดลก่อนหน้า แต่เมื่อแยกออกมาวิเคราะห์เฉพาะ พบว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อราคามากที่สุดอย่างชัดเจน และโมเดลที่ โดยแยกตัวแปรอิสระย่อยออกเป็น 22 ตัวแปร สามารถอธิบายความแปรปรวนของราคาประเมินได้สูงที่สุด (ค่า R-Squared = 0.793) เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลที่ 1 และ 2 ซึ่งใช้ตัวแปรหลักเพียง 4–5 ด้าน (ค่า R-Squared ประมาณ 0.68) จึงถือว่าเป็นโมเดลที่แม่นยำและให้ผลเชิงลึกมากกว่า ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสนับสนุนการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของกรมธนารักษ์ให้สอดคล้องกับปัจจัยด้านทำเล คุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้การประเมินมีความแม่นยำและสะท้อนมูลค่าตลาดมากขึ้น</p> สลิลภัสสร์ วิเศษสิงห์, นนทร์ วรพาณิชช์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2046 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงรับจำนำในกรุงเทพมหานคร https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2117 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการโรงรับจำนำในกรุงเทพมหานคร และ (2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงรับจำนำในกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่เคยใช้บริการโรงรับจำนำในกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ปัจจัยทางประชากรศาสตร์และส่วนประสมทางการตลาด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ (Chi-square) ผลการศึกษาพบว่า 1) โปรโมชั่นส่วนลดของดอกเบี้ยเป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้ผู้บริโภคใช้บริการโรงรับจำนำ และเหตุผลที่ใช้บริการมากที่สุดคือเพื่อการบริโภคและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน พฤติกรรมการใช้งานส่วนใหญ่พบว่านำสินค้าประเภท ทอง นาค เพชร โดยประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ค้าขายเลือกใช้บริการช่วงเวลาแล้วแต่สะดวก โดยเฉลี่ยใช้บริการ 1 ครั้งต่อเดือน 2) ปัจจัยประชากรศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจ ส่วนปัจจัยทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการโรงรับจำนำอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โปรโมชั่น ส่วนวงเงินและอัตราดอกเบี้ย รวมถึงสถานที่ตั้งไม่มีความสัมพันธ์</p> รัฐนินทร์ กริ่มวิรัตน์กุล, ธนารักษ์ เหล่าสุทธิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2117 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลทางสังคมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจดำรงสมณเพศในคณะสงฆ์จังหวัดลำพูน https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2136 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาเหตุจูงใจในการตัดสินใจบวชของพระสงฆ์ในจังหวัดลำพูน (2) ศึกษาเหตุผลในการครองสมณเพศได้อย่างยาวนานของพระสงฆ์ในจังหวัดลำพูน และ (3) ศึกษาอิทธิพลทางสังคมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจบวชและครองสมณเพศได้อย่างยาวนานของพระสงฆ์ในจังหวัดลำพูน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามจากพระสงฆ์กลุ่มตัวอย่างพระสงฆ์ที่จำพรรษาในจังหวัดลำพูน จำนวน 160 รูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และอธิบายความความสัมพันธ์หลายตัวแปรโดยใช้การทดสอบการถดถอยเชิงเส้นพหุ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) พระสงฆ์มีเหตุจูงใจในการบวชส่วนใหญ่มาจากการทดแทนบุญคุณตามประเพณีและความเชื่อทางพระพุทธศาสนา,การศึกษาพระธรรมวินัยและหลักคำสอน รวมถึงการแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) ในด้านเหตุผลในการครองสมณเพศได้ยาวนาน พบว่า อุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนา มีอุดมการณ์ทางสังคม การได้รับอิทธิพลจากพระอุปัชฌาย์และพระเถระที่เคารพนับถือ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความต่อเนื่องของการดำรงสมณเพศ 3) อิทธิพลทางสังคมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจบวชและครองสมณเพศได้อย่างยาวนาน พบว่า ปัจจัยด้านระดับการศึกษาของพระสงฆ์ (หลังบวช), ต้นทุนทางสังคมของพระสงฆ์ (ก่อนบวช), ต้นทุนทางสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ (ก่อนบวช), ต้นทุนทางวัฒนธรรมของพระสงฆ์ (ก่อนบวช), ปัจจัยด้านมูลเหตุจูงใจการบวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และการบวชเพื่อมุ่งพระนิพพาน แสวงหาทางหลุดพ้นเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลส่งผลการตัดสินใจบวชและครองสมณเพศได้อย่างยาวนานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> นนท์ปวิธ ศรีเทพ, ธีระ สินเดชารักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2136 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของพนักงานในการทำงาน กลุ่มงานด้านงานสินเชื่อในธนาคารพาณิชย์ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2073 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความสุข ปัจจัยจูงใจ และปัจจัยอนามัยในการทำงานของพนักงานกลุ่มงานสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในธนาคารพาณิชย์ไทย และ (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของพนักงานกลุ่มดังกล่าว การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพนักงานกลุ่มงานสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 170 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า พนักงานมีความสุขในการทำงานและมีคะแนนการประเมินปัจจัยจูงใจและปัจจัยอนามัยโดยรวมอยู่ในระดับสูง จากการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ พบปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 5 ปัจจัย ได้แก่ ด้านชีวิตส่วนตัว (มีอิทธิพลสูงสุด) ด้านการเป็นที่ยอมรับ ด้านลักษณะงาน ด้านนโยบายและการบริหาร และด้านความก้าวหน้าในงาน ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรควรพิจารณาการนำนโยบายสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โปรแกรมการยอมรับและชื่นชม การพัฒนาลักษณะงาน ระบบการบริหารที่โปร่งใส และเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่มีโครงสร้างชัดเจนมาใช้ เพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและประสิทธิผลขององค์กร</p> ชณัญญา กุลจิตต์เจือวงศ์, ณัฏฐณิชา ฉายรัศมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2073 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจโรงแรม จังหวัดชลบุรี https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2064 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านการเงินของการพัฒนาธุรกิจโรงแรม ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิและข้อมูลปฐมภูมิ จากการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 3 ธุรกิจ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก่นักลงทุน ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจจะลงทุนธุรกิจโรงแรมในจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการวิเคราะห์ต้นทุน และผลประโยชน์ โดยกำหนดระยะเวลาโครงการ 20 ปี ผลการศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านการเงิน พบว่า การพัฒนาธุรกิจโรงแรม ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจาก ที่ดินของโครงการในอำเภอเมืองชลบุรีมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 8,403,023 บาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (B/C ratio) เท่ากับ 1.03 เท่า และอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เท่ากับ ร้อยละ 6.78 เมื่อเทียบกับอัตราคิดลดที่ ร้อยละ 6.36 ทำให้ผ่านเกณฑ์การตัดสินใจในการลงทุน ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจโรงแรม ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ทางด้านการเงินจึงมีความน่าสนใจในการลงทุน</p> วริศรา เจริญสุข, สมหมาย อุดมวิทิต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2064 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตำบลผักขวง อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2002 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักปาปณิกธรรมกับบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (3) เพื่อนำเสนอแนวทางพุทธบูรณาการหลักปาปณิกธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตำบลผักขวง อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ดังนี้ (1) การวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 382 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักปาปณิกธรรมกับการส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) แนวทางการส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครองท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ดังนี้ (1) จักขุมา วิสัยทัศน์มองการณ์ไกลที่ชัดเจน (2) วิธูโร การบริหาร และ (3) นิสสยสัมปันโน มนุษย์สัมพันธ์ดี ความเอาใจใส่ การสื่อสารอย่างชัดเจนและจริงใจ เพื่อเข้าหาประชาชนด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและรับฟังความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง</p> ชญานี ต่ายลำยงค์, สายัณห์ อินนันใจ, พระครูโสภณกิตติบัณฑิต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2002 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการหลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลตำหนักธรรม อำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2012 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรมกับบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน และ (3) เพื่อการนำเสนอการบูรณาการหลักสาราณียธรรม เพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลตำหนักธรรม อำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (1) การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 358 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูปหรือคน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรม 6 มีความสัมพันธ์กับบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) แนวทางการบูรณาการหลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน พบว่า ผู้บริหารท้องถิ่นได้ให้เกียรติอีกทั้งช่วยเหลือชุมชนในการพัฒนาชุมชน อีกทั้งใช้คำพูดให้เกิดความสามัคคีในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน นอกจากนี้ยังมีจิตใจความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาชุมชน อีกทั้งจัดสรรผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมในชุมชนอย่างถูกต้องชอบธรรม และนำเอาความคิดเห็นของทุก ๆ ฝ่ายมาบูรณาการในการพัฒนาชุมชน</p> กรวิทย์ พุ่มพวง, พระครูโสภณกิตติบัณฑิต, สายัณห์ อินนันใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2012 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ำในชุมชนของเทศบาลนครลำปาง จังหวัดลำปาง https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1959 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ำในชุมชนของเทศบาลนครลำปาง จังหวัดลำปาง (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับการส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่น (3) เสนอการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำ การศึกษานี้เป็นการวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ดังนี้ 1) การวิจัยเชิงปริมาณ แจกแบบสอบถามแก่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 397 คน โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และ การสุ่มแบบแบ่งชั้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์ ดำเนินการสัมภาษณ์ นำข้อมูลมาถอดเสียง บันทึกข้อความ จำแนกประเด็นและเรียบเรียงเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักอิทธิบาทธรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก และภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ำ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่นมีค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) การประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ (1) ฉันทะ ผู้บริหารควรมีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นจริงใจในการแก้ปัญหา (2) วิริยะ ควรแสดงความเพียร อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (3) จิตตะ ควรตั้งใจและใส่ใจในทุกมิติของงาน พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (4) วิมังสา ควรมีความสามารถในการวิเคราะห์ ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล และใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการจัดการ</p> ภัทรพล บุญมั่น, สายัณห์ อินนันใจ, สมจิต ขอนวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1959 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรมของประชาชนตำบลกาญจนา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2032 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนตำบลกาญจนา (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัปปุริสธรรม 7 กับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ตำบลกาญจนา และ (3) นำเสนอการส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรมของประชาชน ตำบลกาญจนา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ การศึกษานี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี (1) การวิจัยเชิงปริมาณ แจกแบบสอบถามแก่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 363 คน โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และ การสุ่มแบบแบ่งชั้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 9 ราย ด้วยแบบสัมภาษณ์ ดำเนินการสัมภาษณ์ นำข้อมูลมาถอดเสียง บันทึกข้อความ จำแนกประเด็นและเรียบเรียงเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และระดับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนทั้ง 6 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) หลักสัปปุริสธรรม 7 กับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) การส่งเสริมความเป็นพลเมืองโดยหลักสัปปุริสธรรม พบว่า (1) ธัมมัญญุตา ควรมุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และการมีส่วนร่วมของประชาชน (2) อัตตัญญุตา มุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง (3) อัตตัญญุตา ส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักสิทธิในระบอบประชาธิปไตย (4) มัตตัญญุตา ส่งเสริมให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพ และทรัพยากรอย่างเหมาะสม (5) กาลัญญุตา ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง กระตุ้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง (6) ปริสัญญุตา ควรมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (7) ปุคคลัญญุตา ควรมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายชุมชน รู้จักและเลือกผู้นำที่ดี</p> พระครูใบฎีกาเผด็จ สำเร็จผล, สมจิต ขอนวงศ์, สายัณห์ อินนันใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/2032 Sun, 05 Oct 2025 00:00:00 +0700