Journal of Spatial Development and Policy
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP
<p> <strong> Journal of Spatial Development and Policy</strong> ISSN: 2985-220X (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ตั้งแต่ระดับองค์กร กลุ่ม หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ภูมิภาค ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ วารสารมุ่งเน้นส่งเสริมงานวิชาการที่มีลักษณะเป็นการสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาพื้นที่ในมิติต่างๆ แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ที่ผลักดันไปสู่การสร้างนโยบายของพื้นที่ โดยเปิดรับบทความทางด้านการพัฒนาพื้นที่ที่บูรณาการกับศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และงานทางด้านสหวิทยาการทางสังคมศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่และผลักดันสู่การสร้างกรอบนโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Spatial Development and Policy มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1RAg-tLgpmV1ta0SYgHyq3U93TTW8l_jP/edit?tab=t.0">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1RvQ-XVZGWwjGMUBzVuZXdMo10Dzf4PtM/edit?tab=t.0">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1atjbiNeyyeOlakSUohQxSEkRJyPTUSwN/edit?tab=t.0">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/6qtUwxnrQk">https://line.me/R/ti/g/6qtUwxnrQk</a></p>
ปัญญาพัฒน์ (Panyapat)
th-TH
Journal of Spatial Development and Policy
2985-220X
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานขาย บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1385
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) แรงจูงใจในการทำงาน และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานขาย บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัดและ (2) แรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานขาย บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ พนักงานฝ่ายขายสายงานร้านค้าทั่วไป จำนวน 207 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อทดสอบสมมติฐานของการวิจัย ด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคุณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานขาย บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด ในภาพรวมอยู่ในระดับความสำคัญมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ สถานะของอาชีพ รองลงมาคือ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว ด้านการปกครองบังคับบัญชา ด้านความมั่นคงในการทำงาน ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน ด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านการได้รับความยอมรับนับถือ ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านโอกาสความก้าวหน้าในอนาคต ตามลำดับ และ 2) ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานขาย บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว และด้านการปกครองบังคับบัญชา ตามลำดับ ผลการศึกษาสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนานโยบายด้านการจัดการแรงจูงใจของพนักงานขายในอุตสาหกรรมสี</p>
ชัยวัฒน์ วุฒิฤทัยพงศ์
นลินฉัตร์ ธราสิริวีรภัทร
จอมขวัญ ศุภศิริกิจเจริญ
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
1
10
-
การวิเคราะห์ปัจจัยการเลือกศึกษาต่อคณะครุศาสตร์ด้วยเทคนิคเหมืองข้อมูล
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1604
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกกลุ่มสาขาวิชาในคณะครุศาสตร์ (2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อคณะครุศาสตร์ และ (3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โดยใช้เทคนิคเหมืองข้อมูล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ จำนวน 893 คน ที่เข้าศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2561–2565 ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาและทุกชั้นปีอย่างเหมาะสม เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลนักศึกษาและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้เทคนิคเหมืองข้อมูล ได้แก่ การจำแนกข้อมูลด้วยต้นไม้ตัดสินใจ (Decision Tree) การลดมิติข้อมูลด้วย Chi-Square และการวิเคราะห์กฎความสัมพันธ์ (Association Rules) ด้วย FP-Growth ผ่านโปรแกรม RapidMiner ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกกลุ่มสาขาวิชา คณะครุศาสตร์ มีจำนวน 9 ปัจจัย ได้แก่ แผนการศึกษา เพศ เกรดเฉลี่ย ภูมิลำเนา อาชีพมารดา รายได้มารดา ข่าวประชาสัมพันธ์ สมาชิกในครอบครัวเป็นครู และรายได้บิดา โดยสามารถสร้างกฎการจำแนกได้ 14 กฎ ซึ่งโมเดลมีค่าความแม่นยำร้อยละ 79.73 และถือว่าเป็นการทดสอบที่เชื่อถือได้ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อคณะครุศาสตร์มีทั้งหมด 37 ปัจจัย 3) จากการวิเคราะห์ สามารถสร้างกฎความสัมพันธ์ได้ 545 กฎ ที่มีค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 88 ขึ้นไป โดยพบว่ากฎที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจเลือกเรียนที่ได้รับอิทธิพลจากหลักสูตรที่ตรงกับตลาดแรงงาน และอาจารย์ที่มีคุณวุฒิสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนให้ความสำคัญกับคุณภาพหลักสูตรและความเชี่ยวชาญของอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หลักสูตร อาจารย์ เหตุผลส่วนตัว ครอบครัว และสังคม โดยผลลัพธ์นี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์และการแนะแนวการศึกษาที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มจำนวนนักศึกษาในอนาคต</p>
เจนจิรา ปาทาน
จรัญ แสนราช
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
11
28
-
รูปแบบการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1631
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) บริบทและประเด็นของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนในมิติการจัดการการท่องเที่ยว และ (2) รูปแบบการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเทคนิคพหุวิธี (Multi-method) ระหว่างการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ร่วมกับการสัมมนาอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 - มกราคม พ.ศ. 2568 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย อาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐ 12 คน และตัวแทนผู้บริหารระดับกลยุทธ์ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการ ในเขตกรุงเทพมหานคร 5 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจด้วยการหันมาใส่ใจการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนผ่านมาตรฐานต่าง ๆ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลดปริมาณมลพิษในการกระบวนการให้บริการ ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวชุมชนท้องถิ่นได้นำเอกลักษณ์วัฒนธรรมมาเป็นจุดขาย แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป 2) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต้องคำนึงถึงสามมิติสำคัญ ได้แก่ (1) การสร้างความร่วมมือกับชุมชน โดยส่งเสริมให้ชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการและได้รับผลประโยชน์โดยตรง (2) การนำเสนอวัฒนธรรม ผ่านการสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรม อาหารท้องถิ่น และการแพทย์แผนไทย และ (3) การรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการเลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ</p>
ระชานนท์ ทวีผล
ฉัตรวริน คลองน้อย
พรหมมาตร จินดาโชติ
สไบทิพย์ มงคลนิมิตร์
รัชมงคล ทองหล่อ
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
29
44
-
การศึกษาปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน บริษัทผลิตเครื่องดื่ม “A” ในประเทศไทย
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1618
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน และ (2) ปัจจัยค้ำจุนที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานบริษัทผลิตเครื่องดื่ม A ในภาคใต้ จำนวน 267 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามในรูปแบบของ Google Form ซึ่งมีข้อคำถามแบบเลือกตอบ และแบบประมาณค่าตามแนวทางของลิเคิร์ท โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยจูงใจซึ่งประกอบด้วย การได้รับการพัฒนา ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความสำเร็จของงาน ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน ณ ระดับนัยสำคัญทางสถิติ ขณะเดียวกัน ปัจจัยค้ำจุน ซึ่งประกอบด้วย สถานะของอาชีพ การนิเทศงาน นโยบายและการบริหารงาน ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน ณ ระดับนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับบริษัทผลิตเครื่องดื่มหรือบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในบริบทเดียวกัน ในการจูงใจและธำรงรักษาพนักงาน รวมถึงการจัดการผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร</p>
กิ่งแก้ว พันทะบุตร
อาทิตยา แก้วคง
อนุวัต สงสม
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
45
56
-
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1601
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี (2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และ (3) อิทธิพลของปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ด้วยวิธีจับฉลาก จำนวน 81 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ โดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก (rxy=.956) โดยผลการวิเคราะห์วิธีการถดถอยพหุคูณการบริหารทรัพยากรมนุษย์มีผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ มีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 91.50 และผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ พบว่า มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางใหญ่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
กนกกาญจน์ พวงเพ็ชร
สุนิตดา เทศนิยม
ธีรพล กาญจนากาศ
สมคิด ดวงจักร์
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
57
68
-
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1447
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม (2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ตามปัจจัยส่วนบุคคล (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่นกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม (4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ช่องทางการรับรู้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำหรับศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลคลองสาม จำนวน 398 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติไค-สแควร์ Cramer’s V t-test, One-Way ANOVA และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่ในระดับปานกลาง โดยประชาชนมีแนวโน้มเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น งานประเพณีมากกว่าการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่น ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ อาชีพ และรายได้ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ขณะที่ช่องทางการรับรู้ เช่น การรับข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ มีความสัมพันธ์สูงกับการมีส่วนร่วม ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มช่องทางการสื่อสารและการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับบทบาทของตนในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่นอาจเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน</p>
วันวิสา นวนไทย
ศรีรัฐ โกวงศ์
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
69
82
-
พฤติกรรมทางการเมืองเชิงพุทธในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของกลุ่มชาติพันธุ์ในอำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1611
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับพฤติกรรมทางการเมืองในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มชาติพันธุ์ในอำเภอนาจะหลวย (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมทางการเมืองในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มชาติพันธุ์ในอำเภอนาจะหลวย และ (3) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมทางการเมืองเชิงพุทธในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มชาติพันธุ์ ในอำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี โดยประยุกต์ตามหลักสุจริตธรรม การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ในอำเภอนาจะหลวย จำนวน 205 คน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที และค่าเอฟ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 รูป/คน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับพฤติกรรมทางการเมือง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมทางการเมืองในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มชาติพันธุ์ พบว่า อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ชาติพันธุ์ และหลักสุจริตธรรม แตกต่างกัน มีพฤติกรรมทางการเมืองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนเพศต่างกัน มีพฤติกรรมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมทางการเมืองเชิงพุทธในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มชาติพันธุ์ ประยุกต์ตามหลักสุจริตธรรม พบว่า (1) ควรซื่อสัตย์ต่อกฎระเบียบการไปใช้สิทธิ์และหาข้อมูลการเลือกตั้งเพิ่มเติม (2) ไม่พูดใส่ร้ายกัน นำความรู้มานำเสนอต่อประชาชนควรยึดหลักความจริง (3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งต้องให้คำชี้แนะแก่กลุ่มชาติพันธุ์ในการตัดสินใจทางการเมือง</p>
พระมหาชานนท์ โชติวณฺโณ (แฝงบุญ)
สุรพล พรมกุล
สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
83
92
-
พุทธวิธีสื่อสารทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลรุ่งระวี อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1600
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพและปัญหาการสื่อสารทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลรุ่งระวี (2) พุทธวิธีสื่อสารทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลรุ่งระวี อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูป/คน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานด้านพุทธศาสนา จำนวน 3 รูป/คน นักการเมืองท้องถิ่น จำนวน 6 คน นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานด้านรัฐศาสตร์ จำนวน 3 รูป/คน ผู้นำชุมชน จำนวน 6 คน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพและปัญหาการสื่อสารทางการเมือง พบว่า (1) ด้านผู้ส่งสาร นักการเมืองท้องถิ่นที่ขาดความจริงใจและซื่อสัตย์ในคำพูด (2) ด้านสารหรือข้อมูล การกระจายข้อมูลข่าวสารที่ไม่ทั่วถึงและไม่รวดเร็ว ขาดการกลั่นกรองข้อมูล (3) ด้านช่องทางนำสารหรือข้อมูล ประชาชนบางส่วนขาดความพร้อมในการรับข้อมูลข่าวสารในหลายๆ ด้าน และ (4) ด้านผู้รับสาร ประชาชนบางส่วนขาดการไตร่ตรองข้อเท็จจริง 2) พุทธวิธีสื่อสารทางการเมือง ตามหลักวจีสุจริต 4 พบว่า นักการเมืองท้องถิ่นควรพูด สัจจวาจา (พูดจริง) อปิสุณาวาจา (พูดไม่ส่อเสียด) สัณหวาจา (พูดอ่อนหวาน) สัมผัปปลาปะ (เว้นการพูดเพ้อเจ้อ) ในการสื่อสารกับประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร</p>
พระมหากวีพงษ์ ธมฺมปาโล (วิเศษสังข์)
สุรพล พรมกุล
สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
93
102
-
ผลกระทบของฟิลเตอร์ความงามในสื่อสังคมออนไลน์ต่อการรับรู้ตนเองของนักศึกษาในกรุงเทพมหานคร
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1446
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความถี่และรูปแบบการใช้ฟิลเตอร์ความงามของนักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพมหานคร (2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ฟิลเตอร์ความงามกับการรับรู้ตนเองและความพึงพอใจในรูปลักษณ์ และ (3) ประเมินการตระหนักรู้ของนักศึกษาต่อผลกระทบทางจิตวิทยาที่อาจเกิดจากการใช้ฟิลเตอร์ความงาม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับปริญญาตรีในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้สื่อดิจิทัลเฉลี่ย 4-6 ชั่วโมงต่อวัน แพลตฟอร์ม Instagram เป็นที่นิยมมากที่สุด มีการใช้ฟิลเตอร์เกือบทุกครั้ง โดยฟิลเตอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือฟิลเตอร์ที่ช่วยลบริ้วรอยหรือสิว 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ฟิลเตอร์ความงามกับการรับรู้ตนเองและความพึงพอใจในรูปลักษณ์ พบว่า ความถี่ในการใช้ฟิลเตอร์ความงาม และประเภทของฟิลเตอร์ที่ใช้บ่อย มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ตนเองและความพึงพอใจในรูปลักษณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) การประเมินการตระหนักรู้ของนักศึกษาต่อผลกระทบทางจิตวิทยาที่อาจเกิดจากการใช้ฟิลเตอร์ความงาม พบว่า การตระหนักรู้ของนักศึกษาด้านการรับรู้ความเสี่ยง และด้านแนวทางการใช้งานอย่างเหมาะสมสามารถร่วมกันอธิบายผลกระทบทางจิตวิทยาที่อาจเกิดจากการใช้ฟิลเตอร์ความงาม ได้ร้อยละ 21.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยการรับรู้ความเสี่ยง และแนวทางการใช้งานฟิลเตอร์ความงามอย่างเหมาะสม มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับผลกระทบทางจิตวิทยา</p>
ชญาน์วัต กิจนพ
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
103
114
-
ความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JSDP/article/view/1657
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี (2) เปรียบเทียบระดับความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการรับรู้ข่าวสารกับระดับความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 305 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, One Way ANOVA, Chi-square, Scheffe และ Cramer’s V โดยมีระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนในจังหวัดปทุมธานี มีความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า รายได้ที่แตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และช่องทางการรับรู้ข่าวสารมีความสัมพันธ์กับระดับความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ของประชาชนในจังหวัดปทุมธานีในภาพรวม มีทิศทางตามกันค่อนข้างน้อย</p>
ปุญญพัฒน์ พานมะลิ
ศรีรัฐ โกวงศ์
Copyright (c) 2025 Journal of Spatial Development and Policy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-23
2025-04-23
3 2
115
124