วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ
<p><strong> </strong><strong>วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์</strong><strong> Jayaphruekpirom </strong><strong>ISSN 2985-217X (Online) </strong>ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งมีขอบเขตสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์ทั่วไป (General Social Sciences) ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ (General Arts and Humanities) รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ (Political Science and Public Administration) ภาษาและวรรณกรรม (Language and Literature) และการศึกษา (Education) และหรือที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์นี้ เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สำหรับคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และนักวิชาการ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย พัฒนาและส่งเสริมให้เกิดผลงานทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้จริงอันก่อเกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม</p> <p> </p> <p> <strong>วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ รับพิจารณาตีพิมพ์บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ (สำหรับต้นฉบับบทความที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการพิมพ์เบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป)<em> </em></strong></p> <p> </p> <p><strong> การพิจารณาบทความ<br /></strong></p> <p> ๑. บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ต้องเป็นบทความใหม่ที่อยู่ในขอบเขตสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์ทั่วไป (General Social Sciences) ศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ (General Arts and Humanities) รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ (Political Science and Public Administration) ภาษาและวรรณกรรม (Language and Literature) และการศึกษา (Education) และหรือที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์นี้ </p> <p> ๒. บทความต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ๆ</p> <p> ๓. บทความต้องผ่านการพิจารณาและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) ที่มีความเชื่ยวชาญทางด้านสาขานั้นหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง จากทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อย่างน้อย ๓ คน ซึ่งผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double-blind peer review)</p> <p> ๔. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นข้อคิดของผู้เขียนเท่านั้น และผู้เขียนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากบทความนั้น</p> <p> ๕. บทความที่ตีพิมพ์ มี ๓ ประเภท ดังนี้</p> <p> ๕.๑ บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่มีการนำเสนอผลการศึกษา หรือการค้นคว้าอย่างมีระบบ ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ</p> <p> ๕.๒ บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความที่มีการนำเสนอความรู้ทั่วไปที่เขียนขึ้นจากการสังเคราะห์ พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนที่มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน ประกอบด้วยบทนำ เนื้อหา และสรุป</p> <p> ๕.๓ บทความวิจารณ์ (Review Article) เป็นบทความที่วิจารณ์หนังสือและการนำเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนที่มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน ประกอบด้วยภาพปกหนังสือ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหนังสือ เนื้อหา และข้อเสนอแนะแนวทางการเลือกหนังสือ</p> <p> </p> <p> <strong>วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ ได้กำหนดความซ้ำซ้อนของบทความ ด้วยโปรแกรม CopyCatch จากเว็บไซด์ Thaijo ดังนี้</strong></p> <div class="description"> <p> - สำหรับบทความวิจัย กำหนดความซ้ำซ้อนต้องไม่เกิน ๒๐%</p> <p> - สำหรับบทความวิชาการ กำหนดความซ้ำซ้อนต้องไม่เกิน ๒๐%</p> <p> - สำหรับบทความวิจารณ์ กำหนดความซ้ำซ้อนต้องไม่เกิน ๒๐%</p> <p> <strong>โดยมีผลสำหรับต้นฉบับบทความที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการพิมพ์เบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป)<em> </em></strong></p> <p><strong><em> </em>ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐาน กองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์จะดำเนินการแจ้งผลความซ้ำซ้อนของบทความให้ผู้เขียนรับทราบ ภายหลังขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการพิมพ์เบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ</strong></p> <p> </p> </div> <p> <strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เผยแพร่บทความในวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์</strong></p> <p> วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ มีค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความเฉพาะแบบปกติ ไม่มีค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความแบบเร่งด่วน (Fast Track) <strong>โดยวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ หลังจาก accepted บทความ (บทความได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารฯ จำนวน ๓ คน ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง ๓ คน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์/ส่วนใหญ่ เห็นควรว่าบทความสามารถเผยแพร่ในวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ได้ และกองบรรณาธิการฯ ยอมรับการเผยแพร่บทความแล้วเท่านั้น) </strong>ซึ่งผู้เขียนบทความกรุณาชำระค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ หลังจากได้รับการแจ้งการชำระเงินจากกองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ แล้วเท่านั้น ทั้งนี้กองบรรณาธิการชัยพฤกษ์ภิรมย์ จะดำเนินการออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้เขียนบทความ</p> <p> </p> <p> กรณีกองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ ดำเนินการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ จำนวน ๓ คน ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพบทความแล้ว<strong> หากผู้เขียนมีความประสงค์ขอถอนบทความก่อนกระบวนการพิจารณาบทความเสร็จสิ้น ผู้เขียนจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการดำเนินการของวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ เป็นเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท </strong>ซึ่งเมื่อกองบรรณาธิการฯ ได้รับการชำระค่าธรรมเนียมฯ แล้วจะดำเนินการยกเลิกบทความออกจากระบบวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ </p> <p> </p> <p><strong> กรณีบทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ ทางกองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จากผู้เขียน<br /></strong></p> <p> </p> <p><strong> กรณีบทความผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ กองบรรณาธิการฯ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการเผยแพร่บทความจากผู้เขียน </strong> ซึ่งหากกองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ accepted บทความ (บทความได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิประจำวารสารฯ จำนวน ๓ คน ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง ๓ คน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์/ส่วนใหญ่ เห็นควรว่าบทความสามารถเผยแพร่ในวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ได้ และกองบรรณาธิการฯ ยอมรับการเผยแพร่บทความแล้วเท่านั้น)<strong> และผู้เขียนได้โอนเงินชำระค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความมายังวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์แล้ว หากภายหลังผู้เขียนบทความมีความประสงค์ขอถอนบทความจากการเผยแพร่ในวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ ทางกองบรรณาธิการวารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมฯ </strong><strong>ดังกล่าวทุกกรณี</strong></p> <p> </p> <p> วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ จะเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ <strong>(สำหรับต้นฉบับบทความที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการพิมพ์เบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป)<em> </em></strong> โดยมีรายละเอียดค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ดังนี้</p> <p> <strong>- บทความของนักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ ที่กำลังศึกษา/ปฏิบัติงาน ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา บทความละ ๓,๐๐๐ บาท (สามพันบาทถ้วน)</strong></p> <p> <strong>- บทความของนักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้กำลังศึกษา/ปฏิบัติงาน ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา บทความละ ๔,๐๐๐ บาท (สี่พันบาทถ้วน)</strong></p> <p> </p> <p> <strong> กำหนดการเผยแพร่วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์</strong></p> <p> ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๖๘ เป็นต้นไป วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์ มีกำหนดเผยแพร่ปีละ ๓ ฉบับ ได้แก่ </p> <p> <strong>ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน มกราคม–เมษายน</strong></p> <p> <strong>ฉบับที่ ๒ ประจำเดือน พฤษภาคม-สิงหาคม</strong></p> <p> <strong>ฉบับที่ ๓ ประจำเดือน กันยายน-ธันวาคม</strong></p> <p> </p>
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
th-TH
วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2985-217X
-
ผลการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อเพิ่มความสนใจทางด้านการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1150
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบความสนใจทางด้านการเรียนก่อนและหลังการทดลองการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ (2) เพื่อเพิ่มความสนใจทางด้านการเรียนให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนทั้งสิ้น 36 คน เป็นกลุ่มทดลอง ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) แบบประเมินด้านความสนใจทางด้านการเรียน (2) ชุดกิจกรรมแนะแนวที่เพิ่มความสนใจทางด้านการเรียนทั้งหมด 6 กิจกรรม (3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า (1) หลังจากการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวนักเรียนมีความสนใจทางด้านการเรียนสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) หลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อเพิ่มความสนใจทางด้านการเรียน นักเรียนมีความสนใจทางด้านการเรียนเพิ่มขึ้น</p>
วิกานดา ชัยรัตน์
จุฑามณี มะลิหวล
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
17
28
-
ความต้องการศึกษาต่อหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1027
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการศึกษาต่อหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โดยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มครูหรือบุคคลากรทางการศึกษาที่สำเร็จการศึกษาแล้วในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด ยโสธร กาฬสินธุ์ และอำนาจเจริญ จำนวน 51 คน ได้มาจากการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบมี 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการศึกษาต่อ จำนวน 4 ข้อ ด้านสิ่งสนับสนุนที่ท่านต้องการในการศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 2 ข้อ และแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่ท่านพิจารณาในการศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษาเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 12 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.93 การวิเคราะห์ข้อมูลร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ด้านข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 58.80) สังกัดสถานศึกษาของรัฐ อายุ 24-28 ปี (ร้อยละ 94.10) สถานภาพการศึกษาส่วนใหญ่ สำเร็จการศึกษาแล้วและทำงานแล้ว (ร้อยละ 76.50) สำเร็จการศึกษา 1-2 ปี (ร้อยละ 74.50) และส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ (คิดเป็นร้อยละ 72.50)</li> <li class="show">ด้านความต้องการศึกษาต่อ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความต้องการศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (ร้อยละ 94.10) โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการต่อยอดองค์ความรู้ในหัวข้อ/สาขาที่สนใจ (ร้อยละ 76.50) ช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสมสำหรับการศึกษาต่อหลังจากทำงานแล้ว 1-2 ปี (ร้อยละ 47.10) และวุฒิการศึกษาของปริญญาที่ต้องการเมื่อสำเร็จการศึกษา คือ ครุศาสตรมหาบัณฑิต (การสอนภาษาไทย) (ร้อยละ 58.80)</li> <li class="show">ด้านสิ่งสนับสนุน ส่วนใหญ่ตอบว่า ต้องการได้รับทุนอุดหนุนการศึกษาทั้งหมด (ค่าธรรมเนียม/ทำวิทยานิพนธ์/ค่าครองชีพ) (ร้อยละ 60.00) และด้านรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมส่วนใหญ่ตอบว่า เรียนในชั้นเรียน ร่วมกับการทำวิทยานิพนธ์เต็มเวลาที่คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ (แบบ ก2) (ร้อยละ 37.25)</li> <li class="show">ด้านปัจจัยที่จะส่งผลให้ตัดสินใจศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยงสูงสุด คือ ความน่าสนใจของหลักสูตร (ค่าเฉลี่ย 4.92) รองลงมา คือ ค่าใช้จ่ายต่อเทอม (ค่าเฉลี่ย 4.86) ดังนั้นการเปิดหลักสูตรการศึกษาจึงควรคำนึงถึงการออกแบบหลักสูตรที่ทันสมัย น่าสนใจต่อผู้เรียน</li> </ol>
อนันตศักดิ์ พลแก้วเกษ
เชอร์รี่ เกษมสุขสำราญ
เมตตา ฟองฤทธิ์
ชมบุญ สุทธิปัญโญ
ชาญยุทธ สอนจันทร์
อุไรวรรณ สิงห์ทอง
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
113
128
-
แนวทางการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามการรับรู้ของประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1272
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามการรับรู้ของประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา และเพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามการรับรู้ของประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 387 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างมีผู้ให้ข้อมูล จำนวน 4 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสรุปข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามการรับรู้ของประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านประสิทธิผลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาด้านความเสมอภาค ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการกระจายอำนาจ 2) แนวทางการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามการรับรู้ของประชาชนขององค์การบริหาร ส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย ควรเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว รวมถึงควรสร้างช่องทางในการรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากประชาชนตลอดจนควรพัฒนาการกระจายอำนาจให้มีความคล่องตัวเพื่อให้การอนุมัติ และดำเนินงานในพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ</p>
ทวีทรัพย์ บุญนิวัฒน์
พิมพ์พจี บรรจงปรุ
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
29
47
-
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1083
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาในตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลหรือผู้รักษาราชการแทน จำนวน 152 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ให้ข้อมูล จำนวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสรุปข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ระดับสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด 4 ด้าน และอยู่ในระดับมาก 5 ด้าน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการยึดมั่นในความถูกต้องและจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านการคิดวิเคราะห์มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับส่วนแนวทางการพัฒนาสมรรถนะนักทรัพยากรบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนครราชสีมา พบว่า 1) นักทรัพยากรบุคคลควรศึกษากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2) นักทรัพยากรบุคคลควรพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง 3) นักทรัพยากรบุคคลควรเรียนรู้แบบเปิดกว้างตลอดจนเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับงานทรัพยากรบุคคลให้ทันสมัยอยู่เสมอ</p>
ภรปภัช เกินกลาง
พิมพ์พจี บรรจงปรุ
วิวัฒน์ สังขโห
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
49
65
-
วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1285
<p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาตลอดจนเพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้าง จำนวน 320 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามโดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสัมภาษณ์ มีผู้ให้ข้อมูลจำนวน 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และสรุปข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณวัฒนธรรมองค์กร 3 ด้าน คือ วัฒนธรรมเอกภาพ วัฒนธรรมการปรับตัว และวัฒนธรรมพันธกิจส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R2) เท่ากับ 0.675 และสามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 67.50 4) แนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลนครนครราชสีมา พบว่า ด้านคุณภาพของงาน ควรจัดหลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ ด้านปริมาณงาน ควรเน้นการวิเคราะห์และจัดสรรภาระงานอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาความเหมาะสมของอัตรากำลังคน ด้านเวลา ควรการกำหนดระยะเวลามาตรฐานในการปฏิบัติแต่ละภารกิจ และด้านค่าใช้จ่าย ควรจัดทำแผนงบประมาณที่รัดกุม การวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ</p> <p> </p>
สุกฤตา เก่าจอหอ
พิมพ์พจี บรรจงปรุ
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
81
96
-
การออกแบบระบบคลินิกการวิจัย วัดและประเมิน เพื่อพัฒนาสมรรถนะการวิจัย ของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยทางไกลในประเทศไทย การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยที่ใช้การทดลองกับการศึกษาแบบพหุกรณี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1093
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อออกแบบระบบคลินิกการวิจัย วัดและประเมิน 2) เพื่อทดลองใช้และประเมินผลระบบคลินิกการวิจัย วัดและประเมิน สำหรับพัฒนาสมรรถนะการวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยทางไกลในประเทศไทย และ 3) เพื่อศึกษาพัฒนาการด้านสมรรถนะการทำวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการมหาวิทยาลัยทางไกลในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างงานวิจัยที่ใช้การทดลองกับงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบพหุกรณีศึกษา ระยะที่ 1 ออกแบบระบบคลินิกการวิจัย วัดและประเมิน ใช้วิธีการสนทนากลุ่ม และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความตรงเชิงเนื้อหาและความเหมาะสมของระบบแล้ววิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 ทดลองใช้ ประเมินผลระบบ และศึกษาพัฒนาการด้านสมรรถนะการทำวิจัยการทดลองกลุ่มเล็ก ABA design การสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล และการสำรวจความพึงพอใจ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบคลินิกการวิจัย วัดและประเมิน มีกระบวนการแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน คือ (1) การเข้าถึงการบริการ (2) การประเมินและคัดกรอง (3) การคัดแยกผู้เข้ารับบริการ (4) การให้บริการตามสภาพปัญหา (5) การทำนัด/จองคิว และติดตามผล และ (6) งานวิจัยระเบียน ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน พบว่า ค่าความตรงเชิงเนื้อหารายข้อ (I-CVI) อยู่ในช่วง .80 – 1.00 และค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหารายฉบับ (S-CVI) เท่ากับ .95 2) ผลการทดลองใช้ระบบกับผู้ใช้บริการ 8 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำวิจัยและกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการทำวิจัย กลุ่มละ 4 คน พบว่าผู้ใช้บริการคลินิกทั้ง 2 กลุ่มมีสมรรถนะการทำวิจัยที่ดีขึ้นตามศักยภาพของตนเองโดยมีหลักฐานความก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>คลินิกการวิจัย วัดและประเมิน บุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ การศึกษาทางไกล</p>
สมเกียรติ แก้วเกาะสะบ้า
ศิริรัตน์ จำแนกสาร
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
97
111
-
นวัตกรรมการพัฒนาครูนวัตกรบนฐานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้บูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้และกระบวนการโค๊ชออนไลน์
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1556
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็น 2) สร้างนวัตกรรมการพัฒนาครูนวัตกร 3) ทดลองใช้นวัตกรรมการพัฒนาครูนวัตกร 4) ศึกษาความพึงพอใจของครูนวัตกร ด้วยการวิจัยและพัฒนา 4 ระยะ ดังนี้ 1) การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูนวัตกรกับนักศึกษาครู 155 คน ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นด้วยวิธี Modified Priority Needs Index 2) ผู้วิจัยสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง (ร่าง) นวัตกรรมการพัฒนาครูนวัตกรและประเมินความถูกต้อง และความเหมาะสมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ด้วยแบบประเมิน 3) ทดลองใช้นวัตกรรมกับกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม ๆ ละ 25 คนวัดหลังพัฒนาและเปรียบเทียบหลังทดลองด้วยค่าทีแบบอิสระ เครื่องมือ คือ 1) นวัตกรรมการพัฒนา ครูนวัตกรฯ 2) แบบประเมินทักษะ 4) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มทดลองด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูนวัตกรมีค่า PNImodified อยู่ระหว่าง 0.00-0.41 2. นวัตกรรมการพัฒนาครูนวัตกรบนฐานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้บูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้และกระบวนการโค๊ชออนไลน์ ประกอบด้วย 9 ส่วน คือ 1) ความเป็นมาและความสำคัญ 2) แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน 3) หลักการ 4) วัตถุประสงค์ 5) เนื้อหา 14 หน่วย 6) วิธีการพัฒนา 7) การวัดและประเมินผล 8) บทบาทผู้เกี่ยวข้อง 9) เอกสารที่เกี่ยวข้อง 3. ผลการทดลองใช้ พบว่า ทักษะด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้หลังการพัฒนาของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4. ความพึงพอใจของครูนวัตกรอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.69, S.D.= 0.24)</p>
แขก บุญมาทัน
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
1
15
-
การบริหารการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในยุคดิสรัปชัน
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JPPJ/article/view/1258
<p>ข้อค้นพบจากการวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและงานวิชาการ พบว่า การบริหารการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในยุคดิสรัปชันจำเป็นต้องผสมผสานแนวคิดหลายสาขาวิชาเพื่อสร้างกรอบการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับต่างๆ ที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน การประยุกต์ใช้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาที่ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิสรัปชัน <br>และนำไปสู่การช่วยเสริมสร้างคุณค่าของการนำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการบริการที่ดีขึ้น นับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต ข้อเสนอแนะจากข้อค้นพบ ควรคำนึงถึงการศึกษาวิเคราะห์ที่ถูกต้องและรอบด้าน เพื่อเข้าใจถึงความต้องการและโอกาสของท้องถิ่นผ่านเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) นอกจากนี้ยังควรมีนโยบายที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และสร้างศักยภาพในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนที่ต่างกัน</p>
วชิรวัชร งามละม่อม
Copyright (c) 2025 วารสารชัยพฤกษ์ภิรมย์
2025-04-24
2025-04-24
7 1
67
80