Journal of Applied Education https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE <p>Journal of Applied Education ISSN: 2985-2307 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และด้านอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการศึกษา รวมทั้งสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Applied Education มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1FQs8BBLd_pdaQ1HtRtT3M3rBSAZlYLw3/edit">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1xx3geiJ1fBLpQyA7TTPB1fXx59tJwUSs/edit">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1_S0oqicRT4km1k_8InoEGKCJC1I7Hto0/edit">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b">https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b</a></p> <p> </p> th-TH prasrisirorat@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประยูร แสงใส) prasrisirorat@gmail.com (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี) Wed, 18 Jun 2025 20:00:50 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ เรื่องการเขียนสรุปความจากสาร ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 โดยใช้เว็บไซต์“สุขสันต์ชวนกัน อ่านสรุป” https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1477 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและหาประสิทธิภาพเว็บไซต์ ชุด “สุขสันต์ชวนกันอ่านสรุป” สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ เรื่อง “การเขียนสรุปความจากสาร” ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 โดยใช้เว็บไซต์ดังกล่าว ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 15 คน ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพังงา ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้แบบแผนการทดลอง แบบ One Group Pretest - Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) เว็บไซต์ชุด “สุขสันต์ชวนกันอ่านสรุป” (2) แผนการจัดการเรียนรู้ และ (3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ เรื่อง “การเขียนสรุปความจากสาร” วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่า t แบบพึ่งพากัน (Dependent t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) เว็บไซต์ชุด “สุขสันต์ชวนกันอ่านสรุป” มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.88/83.75 ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนด และ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ เรื่อง “การเขียนสรุปความ จากสาร” ของนักเรียนที่เรียนด้วยเว็บไซต์ดังกล่าวหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> เสาวลักษณ์ วิบุลศิลป์, กรวิภา สรรพกิจจำนง Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1477 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1508 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาสื่อประสม เรื่อง “แรงในชีวิตประจำวัน” สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง “แรงในชีวิตประจำวัน” ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สื่อประสม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นคร อุทิศ” จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม ใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group, Pretest-Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) สื่อประสม เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.95 การวิเคราะห์ข้อมูลดาเนินการโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประเมินประสิทธิภาพตามเกณฑ์ (E1/E2) และการทดสอบค่าที แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent t-test) ผลการวิจัยพบว่า (1) สื่อประสม เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.58/81.16 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์กำหนด คือ 80/80 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน</p> ชนิตา พิมเสน, อรนุช ลิมตศิริ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1508 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการเเก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1539 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกมกับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์ จำนวน 60 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) และกำหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม (2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (4) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และ (5) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M.) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent และ แบบ Independent ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> นริศรา ชูสีอ่อน, อลงกรณ์ อัศวโสวรรณ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1539 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (Mini English Program) ระดับปฐมวัยของโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น สังกัดเทศบาลนครเชียงราย https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1515 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการบริหารจัดการงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น (2) ศึกษาปัจจัยความสำเร็จที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการงานวิชาการที่เป็นเลิศโรงเรียนหลักสูตรสองภาษาระดับปฐมวัย และ (3) เสนอแนวทางการบริหารจัดการงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา ระดับปฐมวัยของโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่นโดยการเก็บข้อมูลโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการบริหารจัดการงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (Mini English Program) ระดับปฐมวัยของโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 2) เหตุปัจจัยความสำเร็จต่อการบริหารจัดการงานวิชาการที่เป็นเลิศโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (Mini English Program) ระดับปฐมวัย คือ (1) เหตุปัจจัยสำคัญภายในส่วนใหญ่ส่งเสริมการจัดการศึกษาได้ดีแต่ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องปรับปรุง และ (2) เหตุปัจจัยสำคัญภายนอกส่วนใหญ่ส่งเสริมการจัดการศึกษาได้ดี โดยเฉพาะการสนับสนุนจากผู้ปกครองและชุมชน แต่ยังมีอุปสรรคด้านความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้งที่ต้องแก้ไข และ 3) แนวทางการบริหารจัดการงานวิชาการโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (Mini English Program) ระดับปฐมวัยของโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ (1) ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (2) ด้านการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ (3) ด้านการพัฒนาระบบการวัดและประเมินผล (4) ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (5) ด้านการพัฒนาสื่อและแหล่งเรียนรู้ และ (6) ด้านการนิเทศการศึกษา</p> กุลณภัสสร์ เพ็ญกุล, สุภาพร เตวิยะ, สมเกียรติ ตุ่นแก้ว Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1515 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1645 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 (2) ระดับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 291 คน โดยทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ตามสัดส่วนของครูในแต่ละอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการบริหารทรัพยากรงบประมาณ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล 2) คุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านทักษะการคิด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษาโดยภาพรวม มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> น้ำฝน ยาปัน, เฮนรี่ ยู อัญชุนดา Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1645 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 2 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1754 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 (2) ศึกษาความเป็นองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา (3) ศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งความสุข และ (4) สร้างสมการพยากรณ์ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาน่าน เขต 2 กลุ่มตัวอย่างคือครูผู้สอนทางการศึกษา 291 คน จากประชากร 1,167 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้วิธีการเปิดตารางการประมาณค่าสัดส่วนของเครซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) องค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน 3) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุข มี 4 ด้าน ได้แก่ ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ และทักษะด้านวิสัยทัศน์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) สมการพยากรณ์ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาน่านเขต 2 มีรายละเอียดดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Y ̂= 1.305+0.198(𝑥1) +0.225(𝑥4) +0.136(𝑥6) +0.106(𝑥2) และ สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน Z ̂= 0.209(Z𝑥1) + 0.258(Z𝑥4) +0.153 (Z𝑥6) + 0.117(Z𝑥2)</p> กาญจนาพร อุตรชน, สุนทร คล้ายอ่ำ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1754 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1502 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู (2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดทำข้อตกลง และ (3) เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดย 1) การสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อศึกษาสภาพการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู 18 คน 2) สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และ 3) การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสรุปเป็นข้อความเชิงอุปนัย พบว่า 1) สภาพการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู พบว่า บุคลากรและครูยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนในการจัดทำข้อตกลง และมีความต้องการที่จะพัฒนาตนเองในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน 2) แนวทางการพัฒนาการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู จะประกอบด้วย (1) ด้านการนับชั่วโมงภาระงานตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด (2) ด้านผลการปฏิบัติงานการจัดการเรียนรู้ (3) ด้านผลการปฏิบัติงานการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ (4) ด้านผลการปฏิบัติงานการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และ (5) ด้านข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน บูรณาการกับการพัฒนาบุคลากร 3 ขั้นตอน คือ การฝึกอบรม การนิเทศติดตาม และการประเมินผล โดยมีการวางแผนและกำหนดแนวทางการดำเนินงานพัฒนาบุคลากร ที่คำนึงถึงบริบทของสถานศึกษา มีการประชุมระบุเป้าหมายของกิจกรรมที่จะจัดทำ การจัดกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ มีการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลหลังจบกิจกรรม และการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป 3) ผลการประเมินแนวทางการพัฒนาฯ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ทุกคนมีความเห็นว่า มีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการพัฒนาการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานของครู</p> อุบลรัตน์ สุขศรี, พระมหาสุพจน์ สุเมโธ, บุญเลิศ วีระพรกานต์, อภิจิตร์ ณ นคร Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1502 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบางกอกวิทยา (มูลนิธิ) https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1562 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ (2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทั้งก่อนและหลังการทดลอง (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบางกอกวิทยา (มูลนิธิ) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) ชุดแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ (2) แผนการสอนด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R (3) แบบทดสอบเพื่อวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ (4) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า ที แบบ dependent samples t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R โดยภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับ ดีมาก 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของผู้เรียนหลังการทดลองด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบ SQ4R โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> กรุณา วงษ์สันต์, ภาสุดา ภาคาผล Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1562 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1474 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 (2) ศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และ (3) นำเสนอและประเมินแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา การศึกษานี้เป็นการวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีขั้นตอน (1) การศึกษาสภาพใช้แบบสัมภาษณ์ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน (2) การศึกษาแนวทางใช้แบบสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 รูป/คน และ (3) การนำเสนอแนวทาง โดยการสนทนากลุ่ม จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า สถานศึกษามีการดำเนินการนิเทศที่ไม่เป็นระบบ ไม่มีปฏิทินการนิเทศที่ชัดเจน สถานศึกษาจึงต้องวางแผนและดำเนินการนิเทศอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) แนวการนิเทศภายในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ประกอบด้วย การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ การวางแผนการนิเทศ การสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ การปฏิบัติการนิเทศ และการประเมินผลและรายงานผล โดยบูรณาการการนิเทศภายในสถานศึกษากับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ประกอบด้วย การวางแผน การดำเนินการ การติดตามและประเมินผล และการพัฒนาปรับปรุง 3) ผลการนำเสนอแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่มมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์</p> ปัทมาพร หนูทอง, พระครูประโชติกิจจาภรณ์, บุญเลิศ วีระพรกานต์, อภิจิตร์ ณ นคร Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1474 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูในยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Era) โรงเรียนอนุบาลแม่ฟ้าหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1545 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสนอนวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูในยุคปัญญาประดิษฐ์ของโรงเรียนอนุบาลแม่ฟ้าหลวง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน และครู จำนวน 14 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าและการสนทนากลุ่ม เกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูในยุคปัญญาประดิษฐ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติและการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ซึ่งสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูในยุคปัญญาประดิษฐ์ โรงเรียนอนุบาลแม่ฟ้าหลวง ต้องมีการประเมินสภาวการณ์โดยการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ โครงการ และตัวชี้วัด ซึ่งได้กำหนดไว้ 4 มิติ ดังนี้ มิติที่ 1 กลยุทธ์เชิงรุก ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้ครูที่มีทักษะด้าน IT เป็นแกนนำในการพัฒนาและฝึกอบรมให้กับครูท่านอื่น และ 2) พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการเรียนรู้ของครูโดยให้ครูที่มีความสามารถด้าน IT ช่วยสร้างเนื้อหา มิติที่ 2 กลยุทธ์เชิงป้องกัน ประกอบด้วย 1) จัดให้มีระบบ IT สำหรับการบริหารจัดการในการลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และ 2) สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนเทคโนโลยีที่ มิติที่ 3 กลยุทธ์เชิงแก้ไข ประกอบด้วย 1) พัฒนาระบบการติดตามผลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล 2) ส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีในโรงเรียน 3) จัดโครงการเพิ่มแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา มิติที่ 4 กลยุทธ์เชิงรับ ประกอบด้วย 1) จัดให้รูที่มีทักษะ IT พื้นฐานเป็นผู้ช่วยหลักภายในโรงเรียนสำหรับให้ความช่วยเหลือในการใช้อุปกรณ์ 2) จัดให้มีคลั่งสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบออฟไลน์</p> ธนกฤต วิริยะจิตต์, สมเกียรติ ตุ่นแก้ว, ประเวศ เวชชะ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1545 Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700