Journal of Applied Education https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE <p>Journal of Applied Education ISSN: 2985-2307 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และด้านอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการศึกษา รวมทั้งสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Applied Education มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1FQs8BBLd_pdaQ1HtRtT3M3rBSAZlYLw3/edit">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1xx3geiJ1fBLpQyA7TTPB1fXx59tJwUSs/edit">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1_S0oqicRT4km1k_8InoEGKCJC1I7Hto0/edit">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b">https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b</a></p> <p> </p> th-TH prasrisirorat@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประยูร แสงใส) prasrisirorat@gmail.com (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี) Thu, 16 Oct 2025 18:27:29 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การใช้หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนยุคเจเนอเรชันอัลฟ่า: บทบาทของครูพระสอนศีลธรรมในการขับเคลื่อนการพัฒนา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2191 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการพัฒนาเด็กเจนเนอเรชันอัลฟ่าให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า เด็กเจนเนอเรชันอัลฟ่า (Generation Alpha) ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิต เด็กกลุ่มนี้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารสูง แต่มีความเสี่ยงที่จะขาดทักษะทางสังคมและคุณธรรมพื้นฐาน เช่น ความอดทน ความเมตตา และความรับผิดชอบ เนื่องจากการเสพสื่อออนไลน์มากเกินไปและการลดลงของปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชน บทความนี้เน้นบทบาทสำคัญของ “พระสอนศีลธรรม” ในการปลูกฝังคุณธรรมในเด็ก ผ่านการใช้สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมพัฒนาความรู้และทักษะของพระสงฆ์ให้ทันสมัย เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน การยกระดับบทบาทนี้จึงเป็นการลงทุนที่สำคัญในการสร้างรากฐานคุณธรรมที่มั่นคงสำหรับเยาวชนเจนเนอเรชันอัลฟ่า และเตรียมพวกเขาให้สามารถดำรงชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างสมดุลและมีความรับผิดชอบ</p> พระครูปุญญาพิศาล (วิชาญชัย กตปุญฺโญ), ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่, พระครูสุเมธปริยัติคุณ (สุเมธ สุเมโธ), ครองรัฐ ใจเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2191 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 ความรับผิดชอบของเด็กไทยในยุค AI: การปรับตัว เรียนรู้ และสร้างคุณค่าในโลกาภิวัตน์ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2214 <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอความรับผิดชอบของเด็กไทยในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเน้นการปรับตัว เรียนรู้ และสร้างคุณค่าในโลกาภิวัตน์ การศึกษาพบว่าในศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าของ AI และโลกาภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเยาวชนไทย ทั้งในด้านโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะปัญหาการขาดวินัย ความรับผิดชอบ และความรู้เท่าทันดิจิทัล ซึ่งมีผลต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมดิจิทัล หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้ “ความรับผิดชอบ” เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมสมัยใหม่ AI มีทั้งโอกาสในการสนับสนุนการเรียนรู้ส่วนบุคคลและการบริหารจัดการชั้นเรียน แต่ก็มีความเสี่ยงด้านจริยธรรม เช่น อคติจากอัลกอริธึมและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้น เยาวชนจำเป็นต้องพัฒนาวิจารณญาณ จริยธรรม และทักษะการใช้ AI อย่างรู้เท่าทัน บทความเสนอแนวทางการพัฒนาความรับผิดชอบของเยาวชนผ่านการบูรณาการทักษะดิจิทัล การคิดเชิงวิพากษ์ และความฉลาดรู้เกี่ยวกับ AI โดยใช้กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการวิเคราะห์กรณีศึกษาและการทำโครงงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ข้อเสนอแนะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้เยาวชนไทยเติบโตเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืนในยุคโลกาภิวัตน์</p> พระครูปุญญาพิศาล (วิชาญชัย กตปุญฺโญ), ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่, ครองรัฐ ใจเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2214 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้รูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถามที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทยและความเข้าใจมโนทัศน์หลักภาษาไทยของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2316 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยรูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถาม และ (2) ศึกษาพัฒนาการความเข้าใจมโนทัศน์หลักภาษาไทยของนักศึกษาที่เรียนด้วยรูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถาม การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จำนวน 36 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มแบบชั้นภูมิและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถาม (2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทย (3) แบบวัดความเข้าใจมโนทัศน์หลักภาษาไทย โดยใช้แบบแผนการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-experimental Research) ศึกษากลุ่มเดียวมีการวัดก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) สถิติการทดสอบแบบที (t-test for dependent) และการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทยของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถามมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 2) ความเข้าใจมโนทัศน์หลักภาษาไทยของนักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยรูปแบบมโนทัศน์ร่วมกับการใช้คำถามมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ในระดับที่สูงขึ้น</p> ธนชพร พุ่มภชาติ, สง่า วงค์ไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2316 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1930 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 และ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา ทั้งก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นคร อุทิศ” อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ได้มาจากการใช้การสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็น หน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สื่อมัลติมีเดีย 2) แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียตามเกณฑ์ 80/80 (E1/E2) และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระ (dependent samples t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.75<strong>/</strong>82.15 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย หลังการทดลองใช้สื่อมัลติมีเดียสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> เสาวลักษณ์ บุญปลอดวาย, อรนุช ลิมตศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1930 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครูโรงเรียนในเขตอำเภอครบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2226 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครูโรงเรียนในเขตอำเภอครบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 (2) พัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครู (3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครู การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ได้แก่ ครู มีโรงเรียนขนาดกลาง และขนาดใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จังหวัดนครราชสีมา จากทั้งหมด 10 แห่ง โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้มา 5 แห่ง จำนวน 60 คน และจับฉลาก ได้มาจำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) แบบสอบถามสภาพปัญหา ความรู้และทักษะเชิงเทคนิคในการใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน จากครูในการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครู (2) สื่อแอปพลิเคชัน AI (3) แบบทดสอบวัดทักษะปฏิบัติทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 (4) แผนการจัดการเรียนรู้ และ (5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสภาพปัญหาการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครูของโรงเรียนในเขตอำเภอครบุรี โดยรวมของผู้เรียนอยู่ในระดับมาก 2) ผลการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ และผลสัมฤทธิ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครูโดยรวมของครูมีคะแนนปฏิบัติก่อนเรียน และคะแนนปฏิบัติหลังเรียน มีระยะห่างความก้าวหน้าของคะแนน และมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05 3) ความพึงพอใจของครูมีระดับความพึงพอใจการพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการศึกษาของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> ธัชพนธ์ สรภูมิ, ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2226 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2218 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา (2) ระดับมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา (3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวนรวม 217 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านความยึดมั่นผูกพัน ส่วนด้านการไว้วางใจกัน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านด้านหลักสูตรอาชีวศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ส่วนด้านการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา โดยตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายตามลำดับมากที่สุด ได้แก่ การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน การไว้วางใจกัน ความยึดมั่นผูกพัน และความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงาน เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาในสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเป็น .876 สามารถร่วมกันทำนายมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 76.70</p> ภูมิชาย พุ่มวิเชียร, สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2218 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคในดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2008 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และ (2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตาม เพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน กลุ่มโซนสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง .67 – 1.00 ค่าความเที่ยงเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการทดสอบความแปรปรวนรายคู่ด้วยวิธี LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา รองลงมา คือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน และสังกัดกลุ่มโซน พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> ฐิติพร พาสี, วิณัฐธพัชร์ โพธิ์เพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2008 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09-11 ระดับอาชีวศึกษา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2200 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09 – 11 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่จัดการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09 – 11 และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ (3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสมรรถนะหลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09 – 11 กับเกณฑ์ร้อยละ 60 และ (4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09 – 11 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งการทดลอง (Quasi Experimental Research) ใช้แนวคิด 4D Model เป็นกรอบในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 21 คนและกลุ่มควบคุมจำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามระดับความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน (t – test for independent samples) ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า EM 09 – 11 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุด (M = 4.55 , S.D. = 0.44) ผลการทดสอบประสิทธิภาพด้านการทำงานตรงตามข้อกำหนดคิดเป็นร้อยละ 100 และร้อยละค่าเฉลี่ยของคะแนนกระบวนการต่อร้อยละค่าเฉลี่ยของคะแนนผลลัพธ์ของผู้เรียนที่จัดการเรียนรู้ด้วยฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า EM 09 – 11 มีค่าเท่ากับ 81.59/80.58 เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า แผงฝึก EM 09 – 11 มีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียนสูงกว่าผู้เรียนที่จัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) คะแนนสมรรถนะหลังเรียนของผู้เรียนกลุ่มทดลองสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกสมรรถนะงานเครื่องกลไฟฟ้า EM 09 – 11 อยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (M = 4.49 , S.D. = 0.56)</p> พรรัฐ ทองมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2200 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2251 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการบริหารงานงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 (2) เปรียบเทียบระดับการบริหารงานงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาลจำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและครูการเงิน จำนวน 203 คน กําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารงานงบประมาณโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยรายด้านจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารการเงิน การตรวจสอบ ติดตามประเมินผล การระดมทรัพยากร การจัดทำและเสนอของบประมาณ และการจัดสรรงบประมาณ 2) การบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษามีความเห็นไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน</p> รัชฎาภรณ์ เมืองนาม, พระครูชัยรัตนากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2251 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 Transforming University Sports Associations into Learning Organizations: A Case Study of Harbin Normal University https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2310 <p>This study investigated how a Chinese university sports association can be transformed into a learning organization by focusing on three key dimensions: learning culture, optimized structure, and supportive environment. A mixed-methods design was employed at Harbin Normal University, involving a questionnaire survey of 134 student association members and in-depth interviews with 11 faculty advisors. Quantitative results from multiple regression analysis indicated that all three dimensions significantly predicted the perceived effectiveness of the sports association as a learning organization (R² = 0.45, F = 35.08, p &lt; .001). Among these factors, a supportive environment emerged as the strongest predictor of successful organizational learning (β = 0.33), followed by a strong learning culture (β = 0.30) and an optimized structure (β = 0.26). Qualitative findings revealed that the sports association provided valuable opportunities for students’ leadership development, teamwork, and emotional well-being; however, it faced challenges such as limited resources, unclear organizational structures, and weak institutional backing. Based on these insights, the study proposes an integrated strategy that combines experiential learning initiatives, participatory leadership structures, and strengthened policy support. This strategy aims to guide the transformation of university sports associations into sustainable, student-centered learning environments in higher education. The findings underscore the critical role of institutional support and organizational adaptation in enhancing the educational impact of collegiate sports associations.</p> Xianwei Lin, Anchalee Chayanuvat ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2310 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700