Journal of Applied Education https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE <p>Journal of Applied Education ISSN: 2985-2307 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และด้านอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการศึกษา รวมทั้งสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Applied Education มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1FQs8BBLd_pdaQ1HtRtT3M3rBSAZlYLw3/edit">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1xx3geiJ1fBLpQyA7TTPB1fXx59tJwUSs/edit">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1_S0oqicRT4km1k_8InoEGKCJC1I7Hto0/edit">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b">https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b</a></p> <p> </p> th-TH prasrisirorat@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประยูร แสงใส) prasrisirorat@gmail.com (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี) Thu, 24 Apr 2025 19:30:50 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทวิจารณ์หนังสือ “การออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้” https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1526 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำหนังสือเรื่อง “การออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้” ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์และน่าสนใจสำหรับผู้สอน นิสิตหรือนักศึกษาครู นักการศึกษาหรือผู้ที่สนใจจะมาประกอบอาชีพเป็นครู เพราะการออกแบบและการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นสมรรถนะที่สำคัญและจำเป็นของวิชาชีพครู ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้อธิบายถึงหลักการสำคัญของการออกแบบและการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ตอนที่ 2 การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และตอนที่ 3 การประเมินและปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหาในแต่ละตอนผู้เขียนอธิบายหลักการสำคัญ ขั้นตอนการออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ไว้โดยละเอียดพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบที่ชัดเจน ส่งผลให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย สามารถฝึกปฏิบัติออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ไปตามลำดับขั้นตอนที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในหนังสือ</p> ภาสุดา ภาคาผล Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1526 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาไทย: ปัจจัย ปัญหา และแนวทางพัฒนา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1356 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาไทย โดยพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ปัญหาที่เกิดจากการนำหลักสูตรไปใช้ และแนวทางการพัฒนาการศึกษาไทย เนื่องจากหลักสูตรเป็นกลไกหลักในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะและทักษะแห่งศตวรรษ ที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา อีกทั้งยังเป็นพลังสำคัญในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก อย่างไรก็ตาม หลักสูตรแกนกลางปัจจุบันมีอายุการใช้งานมากกว่า 16 ปี และเพิ่งปรับปรุงครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2566 ซึ่งนักวิชาการเห็นว่ายังล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจ สังคม และขาดความยืดหยุ่น จึงไม่อาจตอบสนองความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่ได้เต็มที่ หลักสูตรที่ดีต้องได้รับการพัฒนาและติดตามอย่างสม่ำเสมอ พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมว่าเด็กและเยาวชนไทยควรเป็นอย่างไร เมื่อหลักสูตรมีความเป็นระบบ ทันสมัย และเชื่อมโยงบริบทจริง ระบบการศึกษาอื่น ๆ ก็จะได้รับการยกระดับไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน</p> จันทร์เพ็ญ แสงดี, สุวรีย์ เพิ่มศิริ, กชภัทร์ สงวนเครือ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1356 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1411 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะ (2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทั้งก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านกอก อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมเสริมทักษะ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบวัดทักษะการเขียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ dependent sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะช่วยพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะทำให้คะแนนหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พึงพอใจในระดับมากต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับชุดกิจกรรมเสริมทักษะ</p> นิตยตา กาบยุบล, ภาสุดา ภาคาผล Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1411 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสงขลา https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1475 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน (2) ระดับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน (3) ระดับความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน และ (4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดสงขลา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 196 ได้จากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง และ 4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน พบว่า (1) ผู้บริหารควรมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้มีคุณภาพ (2) ควรมีการปลูกฝังส่งเสริมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ (3) มีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน (4) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง (5) มีความรับผิดชอบในการบริหารงานให้ได้ผลสำเร็จและเน้นความโปร่งใส</p> จันทร์เพ็ญ ศิริเสถียร, จรัส อติวิทยาภรณ์, ตรัยภูมินทร์ ตรีตรีศวร Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1475 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1516 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ประเมินบริบท (2) ประเมินปัจจัยนำเข้า (3) ประเมินกระบวนการ และ (4) ประเมินผลผลิตของโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ครู 70 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 469 คน รวมทั้งสิ้น 543 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ประกอบด้วยแบบประเมินบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิต ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขบัญญัติและประเมินความพึงพอใจของโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยเกณฑ์การประเมินใช้ค่าคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไปตามแนวทางของเบสต์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการประเมินโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียม ด้านบริบทผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลการประเมินโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียมด้านปัจจัยนำเข้าผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 3) ผลการประเมินโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียมด้านกระบวนการผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 4) ผลการประเมินผลผลิตทั้ง 2 ประเด็น ได้แก่ การประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขบัญญัติแห่งชาติ และการประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน ที่มีต่อโครงการสุขภาพดีวิถีเด็กเตรียม ซึ่งผลการประเมินโครงการคือผ่านเกณฑ์ที่กำหนด</p> เต็มยศ แก้วแกมทอง, นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์, วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1516 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเอกทวีวิทย์สู่สากลในยุคปัญญาประดิษฐ์ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1491 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเอกทวีวิทย์สู่สากลในยุคปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยประยุกต์ใช้กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Appreciative Inquiry Conference: AIC) ในส่วนข้อมูลเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 213 คน ประกอบด้วย ผู้รับใบอนุญาต 1 คน คณะกรรมการบริหารโรงเรียน 6 คน ครูผู้สอน 18 คน คัดเลือกแบบเจาะจง และผู้ปกครองนักเรียน 188 คน ซึ่งคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายตามสูตรของ Yamane (1973) สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลรวม 27 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร 1 คน ผู้รับใบอนุญาต 1 คน ครู 6 คน คณะกรรมการบริหารโรงเรียน 6 คน ตัวแทนผู้ปกครอง 8 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และผู้ช่วยนักวิจัย 2 คน คัดเลือกโดยวิธีการแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบบันทึกข้อมูลสำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก แนวทางวิเคราะห์เอกสาร และการประชุมแบบมีส่วนร่วม (AIC) สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร่วมกับสถิติเชิงอนุมานตามลักษณะของข้อมูล ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ร่วมกับเทคนิค Benchmarking และ Consensus Model ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเอกทวีวิทย์สู่สากลในยุคปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความยั่งยืนทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครองและชุมชน เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์และภาพลักษณ์ของโรงเรียน (2) การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้สู่มาตรฐานสากล โดยเน้นการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล การเรียนรู้แบบ STEAM และ Active Learning (3) การพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ โดยใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา (SIS) และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และ (4) การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรสู่ความเป็นมืออาชีพและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาครูและบุคลากรในด้านการเรียนการสอนและการบริหารผ่านการฝึกอบรมและการใช้แนวคิด Agile</p> คมสันต์ สุผาครอง, สมเกียรติ ตุ่นแก้ว, ประเวศ เวชชะ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1491 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โรงเรียนรวมไทยพัฒนา 2 จังหวัดตาก https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1445 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือเด็กปฐมวัยชาย-หญิง ชั้นอนุบาลปีที่ 3 อายุ 5-6 ปี ซึ่งได้มาจากการสุ่ม แบบแบ่งกลุ่ม 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนรวมไทยพัฒนา 2 อำเภอพบพระ จังหวัดตาก การวิจัยครั้งนี้ใช้ระยะเวลาดำเนินการทดลอง วันละ 30 นาที ตลอด 4 วันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ รวม 32 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรม จำนวน 32 แผน และแบบทดสอบวัดความสามารถทางทักษะพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการรู้ค่าจำนวนและตัวเลข แบบทดสอบรู้ค่าจำนวนตัวเลข (1-20) จำนวน 4 ข้อ ด้านการเรียงลำดับ จำนวน 4 ข้อ ด้านการเปรียบเทียบ จำนวน 4 ข้อ ด้านการจัดหมวดหมู่ จำนวน 4 ข้อ รวมทั้งหมด 16 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> นภาวดี จันทร์เชื้อ, ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์, ปิยะดา จุลวรรณา Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1445 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยใช้หลักอริยมรรคในโรงเรียนขนาดเล็ก อำเภอร่อนพิบูลย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1464 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ในโรงเรียนขนาดเล็ก (2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาโดยใช้หลักอริยมรรค ในโรงเรียนขนาดเล็ก และ (3) นำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยใช้หลักอริยมรรคในโรงเรียนขนาดเล็ก การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน ศึกษาแนวทางสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน สนทนากลุ่ม โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ในโรงเรียนขนาดเล็ก มีการดำเนินงาน 6 ขั้นตอน (1) กำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (2) จัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา (3) ดำเนินการตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา (4) ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา (5) ติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และ (6) จัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง พบว่า ขาดงบประมาณ ขาดบุคลากร ขาดความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติงานล่าช้าไม่เป็นปัจจุบัน งานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษากลายเป็นหน้าที่ของบุคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งทุกคนควรช่วยกัน 2) แนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 6 ขั้นตอน โดยบูรณาการหลักอริยมรรค คือ (1) ปรึกษาหารือคิดและตัดสินใจร่วมกันในการกำหนดมาตรฐานและค่าเป้าหมาย (2) รับผิดชอบร่วมกันในการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา (3) ดำเนินการร่วมกันตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา (4) รับผิดชอบร่วมกันในการประเมินผลตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา (5) ดำเนินการร่วมกันในการตรวจสอบผลการดำเนินงานมาพัฒนาสถานศึกษา (6) ปรึกษาหารือร่วมกันในการจัดทำรายงานผลการประเมินตนอง 3) ผลการนำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาโดยใช้หลักอริยมรรคในโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิทุกรูป/คน เห็นว่า มีความเหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์ ใช้ในการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ให้มีประสิทธิภาพได้</p> นงสะคราญ ยอดดวงใจ, บุญเลิศ วีระพรกานต์, ปรีชา สามัคคี, อภิจิตร์ ณ นคร Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1464 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1546 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) การยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 (2) ความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 จำนวน 302 คน ประกอบไปด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 28 คน และครูจำนวน 274 คน กำหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน การได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนประชากร ตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเชื่อมั่น และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) การศึกษาการยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านทัศนคติที่มีต่อพฤติกรรมการใช้งาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนในการใช้เทคโนโลยี 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านความต้องการเป็นสมาชิกของสังคม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านความต้องการทางกายภาพ 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับความพึงพอใจในการทำงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ณัฐพล เมฆเคลื่อน, ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1546 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700 ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1463 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 (2) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน (3) สร้างสมการพยากรณ์การบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 142 ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจากประชากรทั้งหมด 221 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยการนำเข้าตัวแปรทั้งหมด ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้านเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล และด้านความคิดรวบยอด ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ว่า Y ̂ = 1.171+ 0.274 X4 + 0.220 X6 +0.117X5 +0.114 X3 +0.061 X1 -0.021 X2 , Z ̂ = 0.325 X4 +0.286 X6 +0.161 X5 +0.140X3 +0.069 X1- 0.023 X2</p> กาญจนา ไข่คงรอด, วัน เดชพิชัย, นวรัตน์ ไวชมภู Copyright (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1463 Thu, 24 Apr 2025 00:00:00 +0700