Journal of Applied Education https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE <p>Journal of Applied Education ISSN: 2985-2307 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และด้านอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการศึกษา รวมทั้งสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> Journal of Applied Education มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<strong> </strong></p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) โดยมีขั้นตอนดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br /> 2) บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br /> 3) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br /> 4) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ<br /></strong> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br /> 2) เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br /> 3) ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br /> 4) เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1FQs8BBLd_pdaQ1HtRtT3M3rBSAZlYLw3/edit">คลิก </a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/1xx3geiJ1fBLpQyA7TTPB1fXx59tJwUSs/edit">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/1_S0oqicRT4km1k_8InoEGKCJC1I7Hto0/edit">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE">https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b">https://line.me/R/ti/g/XsQtTe4s2b</a></p> <p> </p> ปัญญาพัฒน์ (Panyapat) th-TH Journal of Applied Education 2985-2307 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านในถุ้ง https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1743 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติให้เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างก่อนการทดลองและหลังการทดลองด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนบ้านในถุ้ง ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ยกห้องเรียน โดยใช้วิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบค่า t-test แบบกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent sample t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.70/81.19 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดของ E1/E2 คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หลังการทดลองด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติ สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อภิรมย์ สมบูรณ์ อรนุช ลิมตศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 1 8 รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1642 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก (2) พัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก และ (3) ประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้าวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 100 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครจซี่และมอร์แกน (2) การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน เลือกแบบเจาะจง (3) การประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้าวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 100 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามองค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการ แบบตรวจสอบความเหมาะสมและความสอดคล้อง และแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก มี 5 ประการ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรและการนำไปใช้ การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผล การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา และการนิเทศการศึกษา 2) ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่า รูปแบบ มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ แนวทางการประเมินผล เงื่อนไขความสำเร็จ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบ ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์และความถูกต้องอยู่ในระดับมาก ส่วนความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> แพรวนภา สมทรัพย์ ญาณิศา บุญจิตร์ จิณัฐตา สอนสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 9 22 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นคร อุทิศ” แห่งที่ 2 (โรงเรียนวัดโพธาราม) https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1720 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เศษส่วน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ทั้งก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เศษส่วนการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/10 โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นคร อุทิศ” แห่งที่ 2 (โรงเรียนวัดโพธาราม) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 29 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ยกห้องเรียน โดยใช้วิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เศษส่วน (2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เศษส่วน (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent sample t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เศษส่วน มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 82.43/81.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดของ E1/E2 คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดียหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วาสินีย์ รอบคอบ อรนุช ลิมตศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 23 32 สภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ของบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1706 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทางการศึกษา และ (2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน โดยจำแนกตาม ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา ของผู้บริหารและบุคลากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน จำนวน 317 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 175 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่าง รายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่ ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน ทั้ง 5 ด้าน ในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน พบว่า บุคลากรที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ไม่แตกต่างกัน ส่วนบุคลากรที่มีประสบการณ์ทำงานและปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่มีขนาดแตกต่างกัน มีความเห็นต่อสภาพการขับเคลื่อนนโยบายจุดเน้นการดำเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่านที่แตกต่างกัน</p> ณัฐวัฒน์ หงษ์จุัย สุนทร คล้ายอ่ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 33 44 Language, Anxiety, and Digital Assessment: Exploring Online Standardized Test Anxiety in English and Thai among University Students at a Thai University https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2120 <p>This article aimed to study (1) the prevalence and profile of online standardized test anxiety among university students for English and Thai subjects, (2) the relationship between test anxiety (in its various dimensions) and students’ performance in online standardized tests, and (3) the primary challenges, preferences, and perceptions reported by students regarding the administration, technical systems, and processes of online standardized testing. The sample was 347 third-year undergraduate students from a university in Thailand. They were selected by purposive sampling. The instrument used to collect data was a set of validated multidimensional anxiety scales, institutional performance data, and student perception surveys for both English and Thai online exams. Data were analyzed using descriptive statistics, including frequency distributions, percentages, means, and standard deviations, to summarize anxiety levels and survey responses. Inferential statistical analyses were conducted using bivariate (Pearson’s correlation) and multivariate (regression) techniques to examine the relationship between each anxiety dimension and students' performance in both English and Thai exams. The results of the study found that: 1. Psychological anxiety was highest for English and significantly lower for Thai, confirming the strong influence of language context. 2. Psychological anxiety negatively predicted test performance in both subjects, while technical anxiety was only significant for Thai. This finding is consistent with students’ satisfaction results: although overall satisfaction levels were not markedly different between the two systems, the Thai online exam system received lower satisfaction ratings than the English system in several areas, including interface clarity, equipment availability, system standardization, and system suitability. 3. Students expressed high satisfaction with digital infrastructure and support but ongoing concerns about pressure in high-stakes English exams and fairness of administration. The study highlights the importance of targeted, context-sensitive strategies for addressing test anxiety in multilingual online assessment contexts.</p> Luksika Ruangsung Patcharee Maungmusik ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 45 62 การบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมตามหลักกระบวนการ บวร 9 ขั้น ของโรงเรียนบ้านทุ่งกรวด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1518 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนบ้านทุ่งกรวด (2) ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมตามหลักกระบวนการ บวร 9 ขั้น และ (3) นำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมตามหลักกระบวนการ บวร 9 ขั้น ของโรงเรียนบ้านทุ่งกรวด การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน แนวทางสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกร่างแนวทาง และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน โดยใช้แบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และนำมาเขียนเชิงพรรณณา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วม ของโรงเรียนบ้านทุ่งกรวดยังขาดความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายในการบริหารงานของ 4 ฝ่ายงาน ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตร การระดมทรัพยากร การกำหนดอัตรากำลัง การปรับปรุงพัฒนาอาคารเรียน ร่วมกันทำความเข้าใจโดยการประชุม วางแผน ดำเนินงาน และแก้ไขปัญหา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสถานศึกษา 2) แนวทางการบริหารตามหลัก บวร ในการบริหารงาน 4 ฝ่าย ในการร่วมกันจัดทำหลักสูตร การระดมทรัพยากร การกำหนดอัตรากำลัง การปรับปรุงพัฒนาอาคารเรียน โดยดำเนินงานผ่าน กระบวนการ บวร 9 ขั้น ดังนี้ (1) การประกาศเจตนารมณ์ (2) กำหนดเป้าหมาย (3) วางแผน (4) ดำเนินการ (5) ติดตามประเมินผล (6) ยกย่องบุคคล (7) ประเมินผลสำเร็จ (8) ขยายผลกิจกรรม และ (9) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3) ผลการประเมินแนวทางการบริหาร พบว่า มีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ในการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมตามหลัก บวร ซึ่งช่วยให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> กรวิทย์ สุวรรณมณี พระครูเขมธรรมโฆษิต บุญเลิศ วีระพรกานต์ อภิจิตร์ ณ นคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 63 74 Evaluating a Humanity Course for Drama Students at Sichuan Conservatory of Music: A CIPP Model Approach https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/2017 <p>This study applied the CIPP evaluation model to systematically assess a Humanity course for drama majors at Sichuan Conservatory of Music, aiming to examine goal achievement, life skills development, and potential course enhancements. A mixed-methods approach was employed, involving 177 first-year undergraduates, four instructors, and one department head, using document analysis, interviews, surveys, and student performance data. The survey demonstrated strong reliability (Cronbach’s α = .87). Quantitative results showed solid outcomes in creativity (M = 7.26, S.D. = 1.33) and critical thinking (M = 7.03, S.D. = 1.38), but relatively weaker performance in emotional regulation (M = 6.99, S.D. = 1.49) on a 10-point scale. Although students scored highly on written exams (M = 79.52, S.D. = 9.19), their ability to apply knowledge in real-world or performance contexts was limited. Qualitative data further revealed difficulties in translating theoretical understanding into embodied stage expression. Based on these findings, the study proposed a revised curriculum emphasizing emotional education, reflective practice, and interdisciplinary integration. The results underscored the value of the CIPP model as a framework for continuous improvement in arts-based higher education.</p> Xiaozhi Wang Anchalee Chayanuvat ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 75 88 แนวทางการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โรงเรียนทุ่งสง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1510 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการนิเทศภายใน (2) ศึกษาแนวทางการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (3) นำเสนอและประเมินแนวทางการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน ผู้ให้ข้อมูลเชิงลึก จำนวน 5 คน สนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการนิเทศภายในของสถานศึกษามีการนิเทศภายในที่ไม่เป็นระบบ ครูขาดความพร้อมในการรับการนิเทศ ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศภายใน และขาดการรับทราบปัญหาและวิธีแก้ไข การนิเทศภายในไม่เป็นไปตามปฏิทินที่วางไว้ 2) แนวทางการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (1) การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ ครูร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ จัดประชุมครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ในการนิเทศ สรุปปัญหาที่พบ (2) การวางแผนและกำหนดทางเลือก ร่วมกันกำหนดเนื้อหาและวิธีการการนิเทศ จัดทำแผนการนิเทศและตารางการนิเทศ กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผล จัดทำรายงานการออกแบบการนิเทศ (3) การปฏิบัติการนิเทศภายใน ดำเนินการนิเทศโดยการสังเกตการสอนในห้องเรียนประเมินคุณภาพการสอน การมีส่วนร่วมของนักเรียน ประเมินผลงานและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน สะท้อนผลที่เกิดจากการนิเทศและจัดทำรายงานการนิเทศ (4) การประเมินและรายงานผล ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ วิเคราะห์ผลรายงานการนิเทศ เพื่อหาข้อดี ข้อควรพัฒนาในการนิเทศครั้งต่อไป จัดทำรายงานการนิเทศระบุส่วนที่ประสบผลสำเร็จและส่วนที่ต้องแก้ไข 3) ผลการนำเสนอแนวทางการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่มเห็นเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์</p> ศุภรดา ขำแก้ว บุญเลิศ วีระพรกานต์ ปรีชา สามัคคี อภิจิตร์ ณ นคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 89 102 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับสมรรถนะครู ตามมาตรฐานตำแหน่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1804 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร (2) ศึกษาสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่ง (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และกำหนดให้ค่าความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มที่ยอมรับได้ เท่ากับ 0.05 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 358 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 20 คน และครู จำนวน 338 คน โดยใช้เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 0.67 มีค่าความเชื่อมั่นของตัวแปร ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร เท่ากับ 0.926 มีค่าความเชื่อมั่นของตัวแปรสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่ง เท่ากับ 0.832 และมีค่าความเชื่อมั่นโดยเฉลี่ยรวมของสองตัวแปร เท่ากับ 0.866 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ Pearson ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ กับสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ซึ่งภาพรวมมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาด้านวิสัยทัศน์ มีความสัมพันธ์กับสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่งสูงที่สุด และภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการไว้วางใจมีความสัมพันธ์กับสมรรถนะครูตามมาตรฐานตำแหน่งต่ำสุด</p> มัลลิกา ชาลีคาร วานิช ประเสริฐพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 103 112 กลวิธีการสอนเขียนย่อหน้าด้วยวิธีโฟว์สแควร์ https://so16.tci-thaijo.org/index.php/JAE/article/view/1712 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้การเขียนย่อหน้าตามกลวิธี Four-Square งานเขียนทุกประเภทผู้เขียนจะต้องนำเสนอความคิดของตนเองเป็นตอน ๆ เพื่อให้ผู้อ่านจับใจความสำคัญหรือสาระสำคัญตามวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร หากผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้การเขียนย่อหน้าที่ดีแล้วจะช่วยให้สามารถสร้างย่อหน้าที่มีเอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตภาพตามโครงเรื่องที่กำหนด กลวิธี Four-Square มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การกำหนดหัวข้อหลักของย่อหน้า 2) การให้รายละเอียดหรือเหตุผลสนับสนุน 3) การขยายเนื้อหาในแต่ละช่อง และ 4) การสรุปหรือข้อความเชื่อมโยง การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้นี้ช่วยให้ผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้การเขียนย่อหน้าและสามารถสร้างย่อหน้าอย่างสมบูรณ์เป็นพื้นฐานในการสร้างงานเขียนรูปแบบต่าง ๆ ที่กำหนดเป็นคุณภาพของผู้เรียนตามหลักสูตรระดับชาติ</p> ธนชพร พุ่มภชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Applied Education https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 3 4 113 124