วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU
<p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> 2821-9465 (Print)</p> <p><strong>ISSN:</strong> 3027-8155 (Online) </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong> :</strong> ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์</strong> <strong>:</strong> วารสารฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ และงานวิจัยทางด้านครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของคณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้สนใจทั่วไป และเพื่อเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ประสบการณ์ และผลงานวิจัยของบุคลากรในสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>รูปแบบการเผยแพร่บทความเป็น </strong><strong>2 รูปแบบ : </strong>รูปแบบการตีพิมพ์ (Print), รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) </p> <p><strong>ประเภทของบทความที่เปิดรับ<br /></strong><span style="font-weight: 400;">วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เปิดรับบทความ 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ ซึ่งบทความที่เผยแพร่ในวารสารต้องมีเนื้อหาสาระที่มีความถูกต้องทางวิชาการ</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">มีประโยชน์ และมีความน่าสนใจ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสตร์ด้านต่าง ๆ ดังนี้</span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ศาสตร์ด้านการศึกษา เช่น หลักสูตรและการสอน การวัดและประเมินผล นวัตกรรมทางการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา การศึกษาตลอดชีวิต ฯลฯ </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ศาสตร์ด้านการจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ เช่น การศึกษาปฐมวัย คณิตศาสตร์ พลศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ทั่วไป สังคมศึกษา คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ ดนตรีศึกษา ศิลปศึกษา นาฏศิลป์ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา ฯลฯ </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ศาสตร์ด้านการบริหารการศึกษา เช่น การบริหารสถานศึกษา การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา การวางแผนและนโยบายทางการศึกษา ฯลฯ</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ด้านสังคมศาสตร์</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ด้านมนุษยศาสตร์</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การศึกษา</span></li> </ol> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ</strong> <br /> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความ : </strong>ตีพิมพ์ ฉบับละ 10-13 บทความ</p> <p> บทความทางวิชาการ 2-3 บทความ / ฉบับ</p> <p> บทความวิจัย 8-10 บทความ / ฉบับ</p>
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (Faculty Of Education of Nakhon Si Thammarat Rajabhat University)
th-TH
วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
2821-9465
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารครุศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p>
-
ผลการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา โดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การแก้ปัญหาอย่างง่าย โดยการเรียนแบบผสมผสาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1784
<p>ผลการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา โดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การแก้ปัญหาอย่างง่าย โดยการเรียนแบบผสมผสาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการประเมินทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ โดยการเรียนรู้แบบผสมผสาน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้นักเรียนที่มีต่อชุดการเรียนรู้ เรื่องการแก้ปัญหาอย่างง่าย โดยการเรียนรู้แบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดควนวิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยการเรียนรู้แบบผสมผสาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยเรียนแบบผสมผสาน 3) แบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหา 4) แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนก่อนเรียนเท่ากับ 8.75 คะแนน (คิดเป็นร้อยละ 43.75) และหลังเรียนเท่ากับ 16.38 (คิดเป็นร้อยละ 81.90) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียนด้วยสถิติทดสอบค่าที (t-test) พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการเรียนแบบผสมผสาน ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.28) จากผลการวิจัยสรุปได้ว่า นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ของนักเรียนได้จากการเรียนรู้โดยชุดการเรียนรู้ โดยการเรียนแบบผสมผสาน</p>
เอกพงษ์ โสภณพลศาล
วัชรากร ทองช่วย
ทรงวิทย์ ฤทธิกัณฑ์
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
4 1
e1784
e1784
-
การพัฒนากระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้วิถีชีวิส โมเดล ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๘
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1800
<p>การพัฒนากระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู (PLC) เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิถีชีวิส โมเดล ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๘ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้วิถีชีวิต โมเดล 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกับค่าเป้าหมายของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๘ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูในการพัฒนากระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู กลุ่มเป้าหมาย ครูชั้นประถมปลาย จำนวน 15 คนและนักเรียน 299 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจครู เก็บรวบรวมข้อมูล ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดย หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทั้ง 3 วงรอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทุกรายวิชาคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 60 ความพึงพอใจของครูต่อการการพัฒนากระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.63</p>
ถนอมวรรณ ช่างทอง
ธณัฐชา รัตนพันธ์
รัตนา ไกรนรา
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-28
2025-05-28
4 1
e1800
e1800
-
ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Open Approach) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1675
<p>ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Open Approach) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับที่มากกว่า 100,000 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 28 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบเปิด เรื่องการบวกและการลบจำนวนที่มากกว่า 100,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 แผน แบบวัดความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยใช้ข้อมูลจากแบบวัดความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ตามกรอบแนวคิดระดับความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ของ Dubinsky and McDonald (2001)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนเกิดระดับความเข้าใจ 3 ระดับ คือ 1) ระดับจัดการกระทำ (Action) การกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขคำสั่งในสถานการณ์ปัญหาที่กำหนดให้ได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน 2) ระดับกระบวนการ (Process) นักเรียนสามารถพัฒนาความเข้าใจระดับการจัดกระทำหรือการคิดคำนวณหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งสามารถใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ผลของการดำเนินการ 3) ระดับวัตถุ (Object) นักเรียนสามารถนำไปใช้สร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ในการใช้ความรู้ความเข้าใจในระดับกระบวนการไปสร้างความคิดรวบยอด (Concept) ใหม่ได้</p>
ธนาวดี จันทร์เพชร
กิตติศักดิ์ ใจอ่อน
เสาวลักษณ์ สุธน
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-26
2025-05-26
4 1
e1675
e1675
-
การประเมินหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนแก้งคร้อวิทยาพุทธศักราช 2561 โดยใช้รูปแบบซิปป์ (CIPP MODEL)
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1217
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา พุทธศักราช 2561 โดยใช้รูปแบบซิปป์ ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท, ด้านปัจจัยนำเข้า, ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหาร, ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย, และนักเรียน รวม 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกข้อมูล โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านบริบทมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.98 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.06 หลักสูตรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และบริบทของโรงเรียน มีการจัดทำหลักสูตรอย่างเป็นระบบตามความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชน 2) ด้านปัจจัยนำเข้า มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.97 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.12 ครูและบุคลากรมีความรู้ความสามารถตรงตามสาขาวิชา มีการจัดสรรงบประมาณเพียงพอและมีแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย 3) ด้านกระบวนการ มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.92 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.30 ครูมีการจัดการเรียนรู้และการวัดผลที่หลากหลาย มีการติดตามผลการเรียนของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง 4) ด้านผลผลิต ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีผลการประเมินร้อยละ 81.81, ผลการทดสอบ O-NET วิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลการประเมินระดับโรงเรียนเฉลี่ย 58.36 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลการประเมินระดับโรงเรียนเฉลี่ย 47.66, การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนสื่อความ มีผลการประเมินร้อยละ 100, และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีผลการประเมินร้อยละ 100 ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้</p>
ผกาสิริ ไชยคำภา
พีรพล ลุนจันทา
ภานุมาส จันทร์สำราญ
สิริมา บุญเกื้อ
Hanya Zhang
สิทธิพล อาจอินทร์
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-10
2025-03-10
4 1
e1217
e1217
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการ ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่สำนักงานศึกษาธิการภาค 5
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1105
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่สำนักงานศึกษาธิการภาค 5 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่สำนักงานศึกษาธิการภาค 5 และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางที่สามารถนำมาเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการในอนาคตประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ คือ แบบสอบถาม เชิงคุณภาพ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติ เช่น ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและการถดถอยเชิงพหุ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ มิติด้านประสิทธิภาพ มิติด้านคุณภาพการให้บริการ และมิติด้านการพัฒนาองค์กร 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จ ได้แก่ (1) ความเหมาะสมด้านโครงสร้างองค์การ (2) ความชัดเจนของยุทธศาสตร์ และ (3) ภาวะผู้นำของผู้บริหาร 3) ข้อเสนอแนะและแนวทางที่สามารถนำมาเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานในอนาคตประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น คือ การปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับภารกิจลดขั้นตอนซ้ำซ้อน เพิ่มความคล่องตัว กระจายอำนาจการตัดสินใจ และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ กำหนดยุทธศาสตร์อย่างชัดเจนผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมถ่ายโอนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ติดตามและประเมินผลต่อเนื่อง และส่งเสริมการพัฒนาผู้นำด้วยทักษะการสื่อสารและการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อพาองค์กรสู่ความสำเร็จในบริบทที่ท้าทาย</p>
กิตติคุณ พันธุ์เสงี่ยม
กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย
อิศเรศ ศันสนีย์วิทยกุล
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-06
2025-03-06
4 1
e1105
e1105
-
ชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1236
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) พัฒนาและประเมินความเหมาะสมของชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังใช้ชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ 4) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้ชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากนักเรียนโรงเรียนขนาดเล็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 โรงเรียนวัดบางหว้า โรงเรียนวัดสระไคร และโรงเรียนวัดดอนตรอ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นเขตอำเภอพื้นที่การให้บริการวิชาการของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดบทเรียนออนไลน์ แบบประเมินความเหมาะสม แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test แบบ Dependent</p> <p>ผลวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจากผู้เรียน พบว่า สภาพปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลประเมินความเหมาะสมโดยประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ความเหมาะสมของชุดบทเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน พบว่า ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อชุดบทเรียนออนไลน์บนฐานวัฒนธรรมข้าวเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
เศณวี ฤกษ์มงคล
ธณัฐชา รัตนพันธ์
อนุวัฒน์ จันทสะ
ศุภชัย โชติกิจภิวาทย์
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-10
2025-03-10
4 1
e1236
e1236
-
ความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลกับความกล้าแสดงออกของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1172
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความกล้าแสดงออกของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลกับความกล้าแสดงออกของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ตัวอย่างจำนวน 155 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการแบ่งแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) จากการแบ่งตามสัดส่วนคณะ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามการกล้าแสดงออก มีจำนวน 33 ข้อ และแบบวัดความวิตกกังวล มีจำนวน 18 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson's product moment correlation coefficient)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความกล้าแสดงออกของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อยู่ในระดับปานกลาง (𝑥̅=3.35, S.D.=.44) 2) ความสัมพันธ์ของความวิตกกังวลกับความกล้าแสดงออก พบว่าทั้งสองตัวแปรมีความสัมพันธ์เชิงลบ อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r= -0.43, p < .000)</p>
นลิตา หมัดเหยด
เพ็ญประภา ปริญญาพล
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-18
2025-03-18
4 1
e1172
e1172
-
ปั้นเด็กประถมยอดนักอ่าน: เคล็ดลับเก้าอี้สี่ขาสู่การอ่านแบบองค์รวม
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1133
<p>บทความนี้นำเสนอแนวทางพัฒนาเด็กประถมให้เป็น "ยอดนักอ่าน" ด้วยแนวคิด "เก้าอี้สี่ขา" ซึ่งเสริมสร้างทักษะการอ่านแบบองค์รวม ครอบคลุม (1) การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้วยกิจกรรมพัฒนาการออกเสียงและการสะกดคำ เช่น เกมจับคู่เสียง-ตัวอักษร และเพลงสอนเสียง (2) การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและพัฒนาความสามารถในการอ่าน เช่น การอ่านคู่และบันทึกการอ่าน (3) การพัฒนาความเข้าใจในเนื้อหาผ่านการวิเคราะห์และแสดงออก เช่น ถามตอบ 5W1H และวาดภาพประกอบเรื่อง (4) การสร้างแรงจูงใจด้วยกิจกรรมสนุกสนาน เช่น ละครจากหนังสือและการสะสมใบไม้บนต้นไม้แห่งการอ่าน แนวทางนี้สอดคล้องกับบริบทโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๑๐๒ (บ้านเกาะเต่า) ที่มีความท้าทายในการพัฒนาการอ่าน โดยใช้กิจกรรมหลากหลายและบูรณาการศาสตร์อื่น ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ครอบคลุม ผลการศึกษาพบว่า การใช้แนวคิด "เก้าอี้สี่ขา" ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน ทั้งการออกเสียง การเข้าใจเนื้อหา และทัศนคติเชิงบวกต่อการอ่าน นำไปสู่การสร้างนักเรียนที่มีความสามารถและความพร้อมในการเรียนรู้อย่างยั่งยืน</p> <p><strong> </strong></p>
วรพล ศรีเทพ
เปรมพันธ์ ชูสิทธิ์
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-06
2025-03-06
4 1
e1133
e1133
-
การเรียนรู้แบบการตั้งคำถามแบบโสเครติสเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองตื่นรู้ฐานเศรษฐศาสตร์ยั่งยืน
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1159
<p style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.3pt;">พลเมืองตื่นรู้ฐานเศรษฐศาสตร์อย่างยั่งยืน คือ บุคคลที่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ของตนได้อย่างครบถ้วนมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการกระทำของตนเองที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้สิทธิ์ของตนในการเลือกทาง</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">ที่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน ทั้งด้านการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการวิจารณ์ เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ พลเมืองกลุ่มนี้ยังใช้หลักเศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เพื่อตามหาทางออกที่สอดคล้องกับบริบททางสังคม กระบวนการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองตื่นรู้ฐานเศรษฐศาสตร์ยั่งยืนนั้น ประกอบด้วย </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">1) <span lang="TH">การสร้างความสนใจในประเด็นต่าง ๆ </span>2) <span lang="TH">การสร้างความเข้าใจร่วมกัน</span>3) <span lang="TH">การวิเคราะห์และประเมินผล และ </span>4) <span lang="TH">การสังเคราะห์และประเมินผลลัพธ์ กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้<span style="letter-spacing: -.3pt;">ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับการตั้งคำถามแบบโสเครติสในทุกขั้นตอน ซึ่งการตั้งคำถามแบบโสเครติสช่วยสร้างพลเมืองสิ่งแวดล้อมโดยการกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความตระหนักรู้ด้านจริยธรรม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์</span> การตัดสินใจ และการสนทนาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับการเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม<span style="letter-spacing: -.3pt;">ในปัจจุบัน</span></span></span> <span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.3pt;">เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเชิงวิพากษ์ สำรวจความเข้าใจของตนเอง และตั้งคำถามต่อประเด็นที่ซับซ้อน</span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> อีกทั้งยังส่งเสริมการสนทนาอย่างเปิดเผยและลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนจะได้รับโอกาสในการพัฒนามุมมองที่หลากหลายและค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน </span></p>
วรินทร สิริพงษ์ณภัทร
เชษฐภูมิ วรรณไพศาล
อรสิริพิมพ์ บริหารธนโชติ
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-03
2025-02-03
4 1
e1159
e1159
-
หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา: เปิดโอกาสใหม่ พลิกโฉมการศึกษาไทย
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1069
<p>การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่หลักสูตรการศึกษาแบบเดิมยังไม่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ หลักสูตรฐานสมรรถนะจึงเป็นแนวทางใหม่ในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเรียนให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและการทำงานในอนาคต โรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยการเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หลักสูตรฐานสมรรถนะยังส่งเสริมความรับผิดชอบในตนเอง ความคิดริเริ่ม และการทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียน อีกทั้งยังเชื่อมโยงความรู้ที่เรียนรู้กับสถานการณ์จริงในสังคม ผลจากการนำหลักสูตรนี้ไปใช้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในกระบวนการเรียนการสอน ส่งผลให้นักเรียนมีความพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายของโลกในปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจึงเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมการศึกษาไทย และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคตอย่างยั่งยืน</p>
รมย์ชลี บุตรกริม
กิตติศักดิ์ ใจอ่อน
อารี สาริปา
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-27
2025-01-27
4 1
e1069
e1069
-
สาส์นจากบรรณาธิการ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1361
นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-27
2025-01-27
4 1