วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU
<p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> 2821-9465 (Print)</p> <p><strong>ISSN:</strong> 3027-8155 (Online) </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong> :</strong> ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์</strong> <strong>:</strong> วารสารฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ และงานวิจัยทางด้านครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของคณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้สนใจทั่วไป และเพื่อเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ประสบการณ์ และผลงานวิจัยของบุคลากรในสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>รูปแบบการเผยแพร่บทความเป็น </strong><strong>2 รูปแบบ : </strong>รูปแบบการตีพิมพ์ (Print), รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) </p> <p><strong>สาขาของบทความ : </strong>การศึกษา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ</strong> <br /> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความ : </strong>ตีพิมพ์ ฉบับละ 10-13 บทความ</p> <p> บทความทางวิชาการ 2-3 บทความ / ฉบับ</p> <p> บทความวิจัย 8-10 บทความ / ฉบับ</p>
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (Faculty Of Education of Nakhon Si Thammarat Rajabhat University)
th-TH
วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
2821-9465
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารครุศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p>
-
สาส์นจากบรรณาธิการ
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1078
นพรัตน์ ชัยเรือง
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-23
2024-09-23
3 2
-
การวิเคราะห์ความแตกต่างของรูปแบบการศึกษาไทยที่มีผลต่อผลลัพธ์ทางการเรียนของผู้เรียน
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/771
<p>บทความวิชาการฉบับนี้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบการศึกษาไทยที่มีผลต่อผลลัพธ์ทางการเรียนของผู้เรียนเพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของระบบการศึกษาแต่ละระบบของไทยในปัจจุบันตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2545 ผลลัพธ์ทางการเรียนในที่นี้หมายถึง การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการปรับตัวของผู้เรียนที่เกิดจากกระบวนการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาองค์ความรู้ การเสริมสร้างทักษะชีวิตและวิชาชีพ การปรับตัวในการดำรงชีวิตในสังคม และการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต</p> <p>ผลการวิเคราะห์พบว่า การศึกษาในระบบมีการกำหนดโครงสร้างการเรียนรู้และหลักสูตรอย่างชัดเจน รวมถึงมีเกณฑ์การวัดและประเมินผลที่แน่นอน ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทั้งในด้านวิชาการและทักษะที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ในขณะที่การศึกษานอกระบบมีความยืดหยุ่นในด้านเนื้อหา รูปแบบ และระยะเวลา ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการและสภาพแวดล้อมของตนเอง แม้ว่าจะไม่มีการประเมินผลอย่างชัดเจนก็ตาม ส่วนการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามความสนใจและศักยภาพของตนเองจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยไม่มีการวัดผลอย่างเป็นทางการ แต่มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต</p> <p>จากการศึกษานี้พบว่า ระบบการศึกษาทั้งสามมีผลลัพธ์ทางการเรียนที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของระบบ โดยระบบที่มีโครงสร้างชัดเจนและมีการประเมินผลแน่นอนจะส่งเสริมความพร้อมในการศึกษาต่อ ในขณะที่ระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
สิราลักษณ์ พุทธปฎิโมกข์
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-18
2024-10-18
3 2
e0771
e0771
-
พลิกเกมความเป็นผู้นำในยุค BANI : ทักษะและสมรรถนะสู่อนาคต
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/908
<p>ในยุคปัจจุบันที่โลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในทุกมุมโลก BANI World เป็นกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับบทบาทและสมรรถนะที่ผู้นำต้องมีในการนำองค์กรผ่านการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน บทความนี้ผู้เขียนจะสำรวจและพิจารณาคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำในโลกยุค BANI โดยเน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย และวิเคราะห์ถึงวิธีการสร้างและพัฒนาสมรรถนะที่สำคัญ ได้แก่ ความยืดหยุ่นและทักษะฟื้นตัว ความเข้าอกเข้าใจและคิดอย่างมีสติ การประเมินบริบทและปรับตัว และความโปร่งใสและการใช้สัญชาตญาณ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผู้นำในอนาคตให้มีความพร้อมและสามารถนำองค์กรผ่านความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในโลกยุค BANI</p>
รตวรรณ อรัญไสว
เจริญ กระจ่างรส
กิตติยากร เสนาการ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-18
2024-10-18
3 2
e0908
e0908
-
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมกับการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบได้
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/906
<p>การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการเรียนรู้ใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น เพราะผู้เรียนมีสิทธิ์ในการออกแบบการเรียนรู้ของตนเองได้ ให้เป็นไปตามความถนัด และความสนใจ การจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนออกแบบได้นั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธีการตามความถนัด และความสนใจของผู้เรียน เช่น การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) หรือการจัดการเรียนรู้แบบพหุปัญญา เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต้องยึดผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการศึกษา</p> <p>ผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่ต้องเป็นผู้นำเชิงนวัตกรรม ที่นำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กร ทำงานด้วยความเข้าใจในสถานการณ์ สามารถวิเคราะห์ปัญหา และหาแนวทางพัฒนาใหม่ ๆ เป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำ เพราะถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร พัฒนาบุคลากร พัฒนาการทำงานซึ่งหมายถึงการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนของครูผู้สอนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และบริบทของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาบุคลากรในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต</p>
พรวรินทร์ ชดช้อย
ประภัสสร ทินสุข
กุลธิดา ซุ่นอินทร์
ศศิกร ประสารการ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-06
2024-11-06
3 2
e0906
e0906
-
ผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง สารรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/922
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สารรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนยโสธรพิทยาสรรค์ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องสารรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนยโสธรพิทยาสรรค์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน แบบทดสอบปรนัย จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t – test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สารรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนยโสธรพิทยาสรรค์สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สารรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้</p>
เทอดศักดิ์ แสนวงค์
ศักดิ์ศรี สืบสิงห์
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-23
2024-09-23
3 2
e0922
e0922
-
อัตลักษณ์ภาษาลาวครั่ง ผ่านการนำเสนออย่างมีส่วนร่วมของชุมชน ณ ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอพื้นเมืองโบราณลาวซี - ลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/905
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอัตลักษณ์ภาษาลาวครั่ง ตำบลป่าสะแกและตำบลบ่อกรุ จังหวัดสุพรรณบุรี 2) รักษาองค์ความรู้ภาษาลาวครั่ง 3) เผยแพร่อัตลักษณ์ภาษาลาวครั่ง ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมาย คือ ชาวบ้านตำบลป่าสะแกที่พูดภาษาลาวซีและชาวบ้านตำบลบ่อกรุที่พูดภาษาลาวครั่ง จำนวน 20 คน ซึ่งวิธีการเก็บข้อมูลใช้ 1. การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม 2. แบบเก็บข้อมูลทางภาษาภาคสนาม 3. การสัมภาษณ์เชิงลึกจากชาวบ้าน ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสังเคราะห์เขียนรายงานวิจัยเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) อัตลักษณ์ภาษาลาวครั่ง ตำบลป่าสะแก และตำบลบ่อกรุ จังหวัดสุพรรณบุรี มีอัตลักษณ์ร่วมกัน คือ ความเหมือนกันของระบบเสียงและคำ ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกันทางเครือญาติและมีการติดต่อกันระหว่างสองชุมชนอย่างสม่ำเสมอ 2) การเก็บรวบรวมคำศัพท์ สามารถเก็บรวบรวมคำศัพท์ภาษาลาวครั่ง ได้จำนวน 255 คำ 3) การเผยแพร่อัตลักษณ์ภาษาลาวครั่งผ่านสื่อวีดิทัศน์สารคดี จัดทำสื่อวีดิทัศน์สารคดีผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนและเผยแพร่อัตลักษณ์ลาวครั่งของคนในชุมชน การวิจัยในครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ในการสร้างความตระหนักรู้ถึงอัตลักษณ์ภาษาลาวครั่งของชุมชนบ้านทุ่งก้านเหลือง ตำบลป่าสะแก และชุมชนบ้านบ่อกรุ ตำบลบ่อกรุ จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ การจัดทำสื่อวีดิทัศน์สารคดียังเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาและภาษาลาวครั่งได้อีกทางหนึ่ง</p>
รัตนชัย ปรีชาพงศ์กิจ
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-23
2024-09-23
3 2
e0905
e0905
-
การพัฒนาชุดกิจกรรมเกม Unplugged เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผล เชิงตรรกะในการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนหัวไทร (เรือนประชาบาล)
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/929
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเกม Unplugged ตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมเกม Unplugged กับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 70 3) ศึกษาทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมเกม Unplugged และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมเกม Unplugged เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ชุดกิจกรรมเกม Unplugged เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมเกม Unplugged วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเกม Unplugged เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา มีค่าเท่ากับ 82.50/89.42 สูงกว่าเกณฑ์ตั้งวางไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมเกม Unplugged เทียบกับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 70 นักเรียนมีคะแนนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้ 3) ผลคะแนนทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา นักเรียนมีทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมเกม Unplugged เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
กิตติกา แนมไสย
ทรรศธร สงอุปการ
ธณัฐชา รัตนพันธ์
ศุภชัย โชติกิจภิวาทย์
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
3 2
e0929
e0929
-
การพัฒนาศักยภาพตนเองด้านการเต้นในฐานะนักเต้นร่วมสมัย ตามทฤษฎีพหุปัญญา กรณีศึกษา: การแสดงชุด “Whisper II”
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/865
<p>การพัฒนาศักยภาพตนเองด้านการเต้นในฐานะนักเต้นร่วมสมัยตามทฤษฎีพหุปัญญา กรณีศึกษา:การแสดงชุด “Whisper II” ใช้วิธีการวิจัยแบบฝึกปฏิบัติ (Practice as Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อค้นหาข้อบกพร่องด้านการเต้นและพัฒนาศักยภาพของตนเองในฐานะนักเต้นร่วมสมัยผ่านการฝึกฝนการแสดงชุด “Whisper II” ร่วมกับวิสาขา แซ่อุ้ย คณะ MUPA Dance Troupe Company โดยศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ เอกสาร และช่องทางออนไลน์ สัมภาษณ์ ลงมือปฏิบัติและจดบันทึก วิเคราะห์ข้อมูลผ่านทฤษฎีพหุปัญญาใน 3 ด้าน ได้แก่ ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ปัญญาด้านดนตรี และปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง มีระยะเวลาทั้งสิ้นจำนวน 2 ภาคเรียน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ามีข้อบกพร่อง 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านการเต้นร่วมสมัยและพัฒนาศักยภาพของตนเองโดยการฝึกซ้อมผ่านการสร้างความเข้าใจในทฤษฎีองค์ประกอบทางนาฏศิลป์ 2) ปัญญาด้านดนตรี คือการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่สอดคล้องกับจังหวะหรือทำนองดนตรี พัฒนาและแก้ไขโดยวิธีการฝึกฟังและจับโครงสร้างของเพลงที่มีทำนอง จังหวะ และดนตรีที่ไม่มีจังหวะ และ 3) ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง ผู้วิจัยตระหนักรู้ว่าสมรรถนะทางร่างกายของผู้วิจัยนั้นมีข้อจำกัดบางประการที่อาจไม่เหมาะสมต่อการแสดงร่วมสมัยชุด “Whisper II” จึงต้องพัฒนาเพิ่มเติมในการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความอ่อนตัวของกระดูกสันหลัง</p>
ธีรภาพย์ บุญคง
ภัชภรชา แก้วพลอย
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-03
2024-10-03
3 2
e0865
e0865
-
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิศวกรรมเครื่องกลเรือ โดยใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1005
<p>การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิศวกรรมเครื่องกลเรือโดยใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ที่ลงทะเบียนตามแผนการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิศวกรรมเครื่องกลเรือ 2 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 จำนวน 48 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยรายละเอียดของรายวิชา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องอนุกรมกำลัง การประมาณค่าอินทิกรัล การหารากของสมการด้วยวิธีนิวตัน-ราฟสัน และแบบประเมินความพึงพอใจ ผู้วิจัยเตรียมความพร้อม การใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ให้กับผู้เรียน ดำเนินการสอนและสาธิตการใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาโจทย์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบซี ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์หลังจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์คิดเป็นร้อยละ 75.64 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้นเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์</p>
สุพัตรา ชะมะบูรณ์
จตุพล จตุรภัทร
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-18
2024-10-18
3 2
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียน ของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนวิจัยเป็นฐาน
https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/976
<p>การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิจัยเป็นฐานมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียน ของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิจัยเป็นฐาน และ2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณที่มีรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ตัวอย่าง คือ นิสิตชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ คือ รูปแบบการเรียนการสอนวิจัยเป็นฐาน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t – test Dependent Samples ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียน ของนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ หลังจากการใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิจัยเป็นฐานสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการเรียนการสอนวิจัยเป็นฐาน อย่างมีนัยสำคัญสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่มีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีระดับค่าเฉลี่ย (</span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> <span style="font-size: 0.875rem;">= 4.01, S.D. = 0.80)</span></p>
กิตติรัตน์ เกษตรสุนทร
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-18
2024-10-18
3 2
e0976
e0976