https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/issue/feed วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 2025-09-08T09:44:21+07:00 Associate Professor Dr.Nopparat Chairueng journals_edu@nstru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> 2821-9465 (Print)<br /><strong>ISSN:</strong> 3027-8155 (Online) </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong> :</strong> ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์</strong> <strong>:</strong> วารสารฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ และงานวิจัยทางด้านครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของคณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้สนใจทั่วไป และเพื่อเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ประสบการณ์ และผลงานวิจัยของบุคลากรในสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>รูปแบบการเผยแพร่บทความเป็น </strong><strong>2 รูปแบบ : </strong>รูปแบบการตีพิมพ์ (Print), รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) </p> <p><strong>ประเภทของบทความที่เปิดรับ<br /></strong><span style="font-weight: 400;">วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เปิดรับบทความ 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ ซึ่งบทความที่เผยแพร่ในวารสารต้องมีเนื้อหาสาระที่มีความถูกต้องทางวิชาการ</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">มีประโยชน์ และมีความน่าสนใจ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสตร์ด้านต่าง ๆ ดังนี้<br /> 1. </span>ศาสตร์ด้านการศึกษา เช่น หลักสูตรและการสอน การวัดและประเมินผล นวัตกรรมทางการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา การศึกษาตลอดชีวิต ฯลฯ <br /> 2. ศาสตร์ด้านการจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ เช่น การศึกษาปฐมวัย คณิตศาสตร์ พลศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ทั่วไป สังคมศึกษา คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ ดนตรีศึกษา ศิลปศึกษา นาฏศิลป์ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา ฯลฯ <br /> 3. ศาสตร์ด้านการบริหารการศึกษา เช่น การบริหารสถานศึกษา การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา การวางแผนและนโยบายทางการศึกษา ฯลฯ<br /> 4. ด้านสังคมศาสตร์<br /> 5. ด้านมนุษยศาสตร์<br /> 6. ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การศึกษา</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ</strong><br /> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความ : </strong>ตีพิมพ์ ฉบับละ 10-13 บทความ<br /> บทความทางวิชาการ 2-3 บทความ / ฉบับ<br /> บทความวิจัย 8-10 บทความ / ฉบับ</p> <p><strong>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ </strong><em><span style="font-family: 'Angsana New',serif;"><span lang="TH">วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</span></span></em><strong><br /></strong>อ้างอิงตามประกาศมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เรื่อง หลักเกณฑ์ อัตราค่าธรรมเนียม และอัตราค่าตอบแทนเกี่ยวกับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความในวารสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2568 ประกาศ ณ วันที่ 21 เมษายน 2568</p> <p><strong>1. อัตราค่าธรรมเนียม</strong><br /><strong> </strong> บุคคลภายใน บทความละ 3,500 บาท<strong><br /></strong><strong> </strong>บุคคลภายนอก<strong> </strong>บทความละ 4,000 บาท<br /><strong>นิยาม<br /></strong><strong> บุคคลภายใน</strong> หมายถึง คณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ซึ่งต้องปรากฏชื่อเป็น <strong>“ผู้แต่งบทความลำดับแรก”</strong> เท่านั้น <em>หมายเหตุ: หากผู้แต่งลำดับแรกใช้สังกัดของสถาบันอื่น (ไม่ใช่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช) จะถือเป็นบุคคลภายนอก<br /></em><strong> บุคคลภายนอก</strong> หมายถึง บุคคลที่มิใช่คณาจารย์ นักศึกษา หรือบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>2. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม</strong><br /><strong> </strong> - วารสารครุศาสตร์จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม <strong>เมื่อบทความผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการ และสามารถส่งต่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน </strong><strong>3 คน ประเมินคุณภาพบทความได้<br /></strong><strong> </strong> - เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานจะแจ้งให้ผู้นิพนธ์ทราบก่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกครั้ง</p> <p><strong>3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม<br /></strong><strong> </strong> กรุณาชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ผ่านบัญชีธนาคารดังนี้<br /><strong> </strong> ธนาคารกรุงไทย สาขาตลาดหัวอิฐ<br /><strong> </strong> <strong> </strong> ชื่อบัญชี : <strong>มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช<br /> </strong>เลขที่บัญชี : <strong>816-1-03765-5</strong> <strong> **เท่านั้น**<br /> </strong>(กรุณาส่งหลักฐานการชำระเงินไปที่อีเมล: <strong>journals_edu@nstru.ac.th</strong>)</p> <p><strong>หมายเหตุ<br /></strong><span lang="TH"><strong> </strong> การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ </span><strong><span style="font-family: 'Angsana New',serif;">“<span lang="TH">ไม่ได้รับรองว่าว่าบทความของท่านจะได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช”</span></span></strong><span lang="TH"> เนื่องจากบทความจะต้องผ่านกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน </span>3 <span lang="TH">คน และบรรณาธิการก่อน จึงจะสามารถแจ้งผลการพิจารณาว่า ให้สามารถลงตีพิมพ์เผยแพร่ได้หรือไม่<br /><strong> </strong> ทั้งนี้ หากบทความของท่าน </span><strong><span style="font-family: 'Angsana New',serif;">“<span lang="TH">ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์” ทางวารสารจะ</span></span></strong><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New',serif;">ไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมทุกกรณี </span></strong><em>(<span lang="TH">เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่ท่านชำระ จะเป็นค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความของท่าน) <br /><strong> </strong> </span></em><span lang="TH">จึงขอให้ท่านรับทราบ ก่อนการส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์</span></p> https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1014 การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิดเพื่อส่งเสริมสมรรถนะเฉพาะทางคณิตศาสตร์ 2024-10-09T18:50:46+07:00 ณัฐกฤตา สุทิน nattakritta.nsn@gmail.com กิตติศักดิ์ ใจอ่อน kittisak_jai@nstru.ac.th อารี สาริปา aree_sar@nstru.ac.th <p>การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิด เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ของตนเองอย่างเต็มที่ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาด้วยตนเอง แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นการนำเสนอปัญหาปลายเปิด ขั้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขั้นการอภิปรายและเปรียบเทียบร่วมกันทั้งชั้น และขั้นการสรุปโดยการเชื่อมโยงแนวคิดของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิดจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาสมรรถนะเฉพาะทางคณิตศาสตร์ ทั้ง 6 สมรรถนะ ได้แก่ พัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหา สมรรถนะการสื่อสารและนำเสนอ สมรรถนะการให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ สมรรถนะการสร้างข้อสรุปทั่วไปและขยายแนวคิด สมรรถนะการคิดสร้างสรรค์ และสมรรถนะการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี สมรรถนะเฉพาะทางคณิตศาสตร์นั้น ได้เกิดขึ้นในกระบวนการจัดการเรียนรู้และเห็นได้อย่างชัดเจน จากผลงานของผู้เรียน ดังนั้นวิธีการแบบเปิดซึ่งเป็นแนวทางการสอนที่เน้นการแก้ปัญหา จากสถานการณ์ปัญหาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะทางคณิตศาสตร์ ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสในการนำเสนอแนวคิดของตนเอง ได้อภิปรายแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อน เห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิด ที่ตนเองทราบและที่ตนเองยังไม่ทราบ โดยมีครูทำหน้าที่เชื่อมโยงแนวคิดของผู้เรียนที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจและมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ต่อไป</p> 2025-08-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1161 ภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2024-12-09T15:48:14+07:00 ปณัชญา ขันภักดี kunpakdeepok33@gmail.com ชัยวิชิต เชียรชนะ kunpakdeepok33@gmail.com <p>การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทในการบริหารจัดการ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยเน้นการพัฒนาผู้บริหารให้มีความรู้และทักษะที่หลากหลายบทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการสังเคราะห์องค์ประกอบที่สำคัญของภาวะผู้นําด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ วิสัยทัศน์ดิจิทัล การสื่อสารดิจิทัล การสร้างเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล การพัฒนาวิชาชีพของบุคลากร และความคล่องตัวทางดิจิทัล ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถพัฒนาองค์ประกอบเหล่านี้ได้ จะมีศักยภาพในการปรับตัวและนำพาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-08-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1225 ปัญญาประดิษฐ์รังสรรค์: กุญแจสู่ความสำเร็จในการสอนสำหรับการเป็นครูมืออาชีพ 2025-03-03T08:39:28+07:00 วรรณสิริ ธุระแพง thurapaeng.wannasiri@gmail.com สุภัทรา สุริวงษ์ thurapaeng.wannasiri@gmail.com เอกนฤน บางท่าไม้ thurapaeng.wannasiri@gmail.com สิทธิชัย ลายเสมา thurapaeng.wannasiri@gmail.com <p>บทความนี้กล่าวถึงปัญญาประดิษฐ์รังสรรค์ที่เป็นกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการสอน โดยการพัฒนาสมรรถนะการสอนของครูยุคใหม่ที่เน้นการพัฒนาการทักษะการสอนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในการสร้างและออกแบบเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น ข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ ซึ่งช่วยให้การจัดการเรียนรู้ มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น โดยมีการเลือกใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์อย่างเหมาะสมที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการเรียนรู้ แต่การใช้เทคโนโลยีต้องคำนึงถึงจริยธรรม เช่น ความโปร่งใส ความปลอดภัยของข้อมูล และการป้องกันอคติ ซึ่งการเป็นครูมืออาชีพในยุคศตวรรษที่ 21 ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านวิชาการ นักออกแบบการเรียนรู้ และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนแล้ว ต้องเป็นโค้ชผู้สร้างแรงบันดาลใจที่มีความเข้าใจบริบทของผู้เรียน มีการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน และใช้จิตวิญญาณของความเป็นครูในการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการพัฒนาอย่างรอบด้าน และครูต้องมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทั้งด้านวิชาการ เทคโนโลยี และการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ บทบาทของปัญญาประดิษฐ์จึงไม่ได้มาแทนครู แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเสริมสร้างสมรรถนะของครูให้ทันยุค ทันสมัย และสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-08-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/2298 สาส์นจากบรรณาธิการ 2025-08-22T09:36:24+07:00 นพรัตน์ ชัยเรือง journals_edu@nstru.ac.th 2025-08-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/1983 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสุขศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ตามกระบวนการ 4H 2025-07-21T15:46:36+07:00 เอกรัก ไชยสถาน eakarak_c@sb.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ตามกระบวนการ 4H 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังใช้รูปแบบการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ตามกระบวนการ 4H และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ตามกระบวนการ 4H กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้น ม.1 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ จำนวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนารูปแบบการรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ตามกระบวนการ 4H มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.38/79.13 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนของกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ย 10.95 และผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ย 15.83 ค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์หลังการใช้รูปแบบของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ตามกระบวนการ 4H ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก </p> 2025-09-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/2234 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน 2025-09-08T09:44:21+07:00 กิตติศักดิ์ รัตนแก้ว krisda_kun@nstru.ac.th กฤษฎา กุณฑล krisda_kun@nstru.ac.th <p>การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมมิฟิเคชัน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษา จังหวัดตรัง จำนวน 488 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดห้วยนาง (วันครู 2501) จังหวัดตรัง จำนวน 21 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดี โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน จำนวน 2 แผน ประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ได้ค่าเฉลี่ย 4.76 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.74 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบ t-test แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้สนใจในการเรียนมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ชัดเจน</p> 2025-09-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so16.tci-thaijo.org/index.php/EJ-NSTRU/article/view/2181 ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการศิลปะด้านในที่มีต่อทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย 2025-08-20T13:56:57+07:00 สุพรรณิการ์ ศรีสุวรรณ supunnika_sri@nstru.ac.th <p>ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการศิลปะด้านในที่มีต่อทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของนักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ที่จัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการศิลปะด้านใน กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษา ชั้นปีที่ 3 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา 1073309 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 กลุ่มเรียน จำนวน 55 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 10 แผน และแบบประเมินทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยของนักศึกษา มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 0.87 เก็บข้อมูลโดยจัดการเรียนการสอนด้วยกระบวนการศิลปะด้านใน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังจากจัดการเรียนการสอนด้วยกระบวนการศิลปะด้านใน นักศึกษามีทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทุกด้านอยู่ในระดับดีมาก ด้านที่สูงที่สุดคือ ด้านการจัดกิจกรรม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" />= 1.87, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" />= 0.85) รองลงมาคือ ด้านสื่อ-วัสดุอุปกรณ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" />= 1.85, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" />= 0.26)</p> 2025-09-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Education Journal of Nakhon Si Thammarat Rajabhat University