https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/issue/feed วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม 2024-12-27T16:37:43+07:00 ผศ.ดร.อลงกต แผนสนิท journal.clg.sskru@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม<br />กำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม<br />นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านสังคมศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และนวัตกรรมสังคม โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1098 มงคลคติในตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคล 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 2024-12-09T14:28:45+07:00 ธันยพงศ์ สารรัตน์ sthanyapong@gmail.com <p>บทความนี้ศึกษาถึงมงคลคติในตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ พระราชพิธีมหามงคล 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ผลการศึกษาพบว่า &nbsp;&nbsp;พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว&nbsp; รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีนายวิริยะ ชอบกตัญญู เป็นผู้ออกแบบตราสัญลักษณ์ และคณะกรรมการฝ่ายพิธีการจัดงานเห็นชอบให้มีการเผยแพร่ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีดังกล่าว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่อุดมไปด้วยความหมายที่เกี่ยวกับพระเกียรติยศแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งมงคลคติหลายประการที่สะท้อนถึงคติความเชื่อเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรมและสง่างามยิ่ง และเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ และส่งเสริมสถานภาพในองค์พระมหากษัตริย์ไทย</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1102 หลักความคิดของกลุ่มคน Generation Z ที่มีต่อการพัฒนาท้องถิ่นของนักศึกษาวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 2024-10-18T15:34:31+07:00 ธนาภา สายพิน aer1410thanapha@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อได้ทราบถึงข้อมูลหลักความคิดของกลุ่มคน Generation Z ที่มีต่อการพัฒนาท้องถิ่นของนักศึกษาวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง 2.เพื่อได้ทราบถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อหลักความคิดของนักศึกษาวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง 3.เพื่อให้นักศึกษาวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น รูปแบบการวิจัยงานเป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยงานวิจัยเชิงปริมาณนั้นใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ กลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำนวน 258 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Rendom sampling) ตามสูตรของ Yamane (1937) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และกำหนดความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 0.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการแสดงความคิดเห็นและเหตุผล ( &nbsp;= 3.75) อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการให้ความร่วมมือ ( &nbsp;= 3.72) ด้านวัฒนธรรม ( &nbsp;= 3.69) ด้านสภาพแวดล้อม ( &nbsp;= 3.64)ด้านความรู้สึก ( &nbsp;= 3.63) ด้านความโน้มเอียง ( &nbsp;= 3.61) และด้านพฤติกรรม ( &nbsp;= 3.59) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบว่า ปัจจัยด้านวัฒนธรรม (β = .512) ด้านความโน้มเอียง (β = .236) ด้านความรู้สึก (β = .179) ด้านพฤติกรรม ( β = .152) มีอิทธิพลต่อหลักความคิดของกลุ่มคน Generation Z ที่มีต่อการพัฒนาท้องถิ่น มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ควรจัดโครงการหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักศึกษาได้เรียนรู้โดยผ่านการลงมือทำจริงในท้องถิ่น การจัดกิจกรรมหรือสร้างบรรยายกาศภายในสถานศึกษาเพื่อให้นักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาการเรียรู้ผ่านประสบการณ์ในการสัมผัสชุมชนอย่างแท้จริง</p> <p>&nbsp;</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1103 การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-12-12T10:56:13+07:00 supaporn jhantharit 640112801105@bru.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาระดับตัวแปรปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากสูตรทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จำนวน 302 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยหา ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ วิเคราะห์โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ &nbsp;</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) การศึกษาระดับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบล</p> <p>เมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 53.2 (Adjusted = .532) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถเขียนเป็นพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบและสมการถดถอย ได้ดังนี้</p> <p>Y</p> <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาระดับตัวแปรปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากสูตรทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จำนวน 302 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยหา ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ วิเคราะห์โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ &nbsp;</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) การศึกษาระดับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบล</p> <p>เมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 53.2 (Adjusted = .532) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถเขียนเป็นพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบและสมการถดถอย ได้ดังนี้</p> <p>Y = .138 + -.204<strong>(</strong><strong>)</strong>+.489<strong>(</strong><strong>)</strong>+.176<strong>(</strong><strong>)</strong>+.141<strong>(</strong><strong>)</strong>&nbsp; และZ = -.197<strong>(</strong><strong>)</strong>+.684<strong>(</strong><strong>)</strong>+.126<strong>(</strong><strong>)</strong>+.137<strong>(</strong><strong>)</strong><strong> &nbsp;</strong></p> <p>4) การวิเคราะห์เกี่ยวกับความต้องการและข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ความต้องการและข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุในพื้นที่ ที่ได้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุต้องการอยากได้เบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเพิ่มเพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>ความสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผู้สูงอายุ , การจัดสวัสดิการ</p> <p>= .138 + -.204<strong>(</strong><strong>)</strong>+.489<strong>(</strong><strong>)</strong>+.176<strong>(</strong><strong>)</strong>+.141<strong>(</strong><strong>)</strong>&nbsp; และZ = -.197<strong>(</strong><strong>)</strong>+.684<strong>(</strong><strong>)</strong>+.126<strong>(</strong><strong>)</strong>+.137<strong>(</strong><strong>)</strong><strong> &nbsp;</strong></p> <p>4) การวิเคราะห์เกี่ยวกับความต้องการและข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลเมืองยาง อำเภอชำนิจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ความต้องการและข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุในพื้นที่ ที่ได้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุต้องการอยากได้เบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเพิ่มเพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>ความสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผู้สูงอายุ , การจัดสวัสดิการ</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1104 การดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านชุมชนบ้านกระเจา ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-11-12T11:22:52+07:00 อาริสา เกรัมย์ 640112801169@bru.ac.th วัชเรส สุระพล 640112801169@bru.ac.th เปล่งประกาย วันจันทึก 640112801169@bru.ac.th ภรัญโรจน์ ศิวรังสีรัชต์ 640112801169@bru.ac.th สถาพร วิชัยรัมย์ sathaporn.wc@bru.ac.th ธิติ ศรีใหญ่ 640112801169@bru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านชุมชนบ้านกระเจา ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนบ้านกระเจา ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้แบบการสัมภาษณ์ จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ประธานคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชน จำนวน 1 คน รองประธาน จำนวน 1 คน คณะกรรมการ จำนวน 3 คน และสมาชิก จำนวน 5 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ใน 5 ด้าน คือ ด้านการผลิตด้านการตลาด ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ผลการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านชุมชนบ้านกระเจา ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์&nbsp; ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการผลิต&nbsp; &nbsp; ด้านการตลาด ด้านงบประมาณ และด้านบริหารจัดการ สมาชิกมีความชำนาญงานวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตในท้องถิ่นมีไม่เพียงพอจึงต้องมีการสั่งซื้อจากแหล่งผลิตภายนอกซึ้งมีราคาต้นทุนสูง ด้านการตลาดมีการออกขายสินค้าตามงานแสดงสินค้า ด้านงบประมาณมีการจัดทำบัญชีและมีการระดมทุนจากเหล่งเงินกู้ คือกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการด้านบริหารจัดการต้องการให้มีการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการองค์กร ผลของการสัมภาษณ์ ประธาน คณะกรรมการ และสมาชิกในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านชุมชนบ้านกระเจา ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง&nbsp; จังหวัดบุรีรัมย์ ผลวิเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการที่ดี ด้านการผลิตต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ลวดลายให้ทันสมัย ด้านการตลาดกลุ่มสมาชิกต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยหาช่องทางการตลาดให้มากขึ้น ด้านงบประมาณต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแหล่งเงินกู้&nbsp; ด้านบริหารจัดการต้องการให้มีการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1100 การมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการจัดการปัญหายาเสพติด ของชุมชนตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-10-17T11:13:39+07:00 ธนกร จิตรหาญ 640112801063@bru.ac.th ณัฐสิทธิ์ ธนูศิลป์ 640112801063@bru.ac.th วรรณกานต์ โปรดประโคน 640112801063@bru.ac.th กัลยกร เอี้ยงประโคน 640112801063@bru.ac.th สถาพร วิชัยรัมย์ sathaporn.wc@bru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการจัดการปัญหายาเสพติดของผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาระดับปัจจัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการจัดการปัญหายาเสพติดในตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการจัดการปัญหายาเสพติดใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ และ 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้นำชุมชนและประชาชนที่อาศัยในเขตพื้นที่ตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวน 380 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติพรรณา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สถิติอนุมานประกอบด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ แบบสัมภาษณ์วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหายาเสพติดของผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ อยู่ในระดับปานกลาง โดยการมีส่วนร่วมในการรับข้อมูลข่าวสารมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( &nbsp;= 3.46) และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( &nbsp;= 2.58) ระดับปัจจัยการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนมีภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจมีค่าเฉลี่ยสูงสุด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;( &nbsp;= 3.70) ขณะที่การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( &nbsp;= 3.17) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการจัดการปัญหายาเสพติดมีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ โดยเมื่อปัจจัยการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น ระดับการมีส่วนร่วมจะสูงขึ้นเช่นกัน ปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงโดยปัจจัยทั้ง 5 ด้านนี้สามารถพยากรณ์ระดับการมีส่วนร่วมได้ถึงร้อยละ 81.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม https://so16.tci-thaijo.org/index.php/CLGJournal/article/view/1277 การศึกษาแนวทางกฎหมายที่ดินในการจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตร ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 2024-12-18T10:01:45+07:00 พงศกร พวงแก้ว 39682team@gmail.com ณัฐนิชา เพชรมาลี 39682team@gmail.com ภคมน เจริญสลุง 39682team@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการรับรู้ของประชาชนที่ทำการเกษตรในพื้นที่ ภ.บ.ท.5 ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ (2) ศึกษาแนวทางกฎหมายที่ดินในการจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตร การวิจัยนี้ใช้วิธีการแบบผสมผสาน (Mix Method) โดยแบ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan โดยกลุ่มตัวอย่างจำนวน 165 คนจากประชากร 286 คน เก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม เพื่อวัดระดับความพึงพอใจในประเด็นต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ อาชีพ ชนิดของพืช รายได้ และผลที่ประชากรได้รับจากการทำการเกษตรในพื้นที่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ&nbsp; &nbsp;ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 18 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Context Analysis) และนำเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบพรรณนาการวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการจัดสรรที่ดินและเข้าใจการรับรู้ของประชาชนในพื้นที่เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายที่ดินสำหรับการเกษตรอย่างเหมาะสม</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารปกครองและนวัตกรรมสังคม